Greeting to Europe

1.GREECE จับมือ

Man greeting Man – During initial meetings, men shake hands when greeting one another and maintain direct eye contact. A relatively firm handshake is the way to go.  Hugs and light pats on the back and shoulder are common between good friends and family.  Some men may share a kiss on each cheek as well.
Woman greeting Woman – A kiss on each cheek is common if two women know each other.  A light handshake is the norm if they are meeting for the first time.
Man greeting Woman – At a first meeting a warm handshake will suffice and is sometimes combined with slight touches on the arms and/or elbows.  Friends andfamily usually share a kiss on each cheek.

Man อวยพร – ในระหว่างการประชุมครั้งแรกของผู้ชายจับมือทักทายเมื่ออีกคนหนึ่งและรักษาติดต่อตาโดยตรง จับมือ บริษัท ที่ค่อนข้างเป็นวิธีที่จะไป กอดและตบเบา ๆ ที่ด้านหลังและไหล่อยู่ร่วมกันระหว่างเพื่อนที่ดีและครอบครัว ผู้ชายบางคนอาจแบ่งปันจูบในแต่ละแก้มเป็นผู้หญิง

Woman อวยพร – จูบในแต่ละแก้มเป็นเรื่องธรรมดาถ้าผู้หญิงสองคนรู้จักกัน จับมือแสงเป็นบรรทัดฐานถ้าพวกเขามีการประชุมเป็นครั้งแรก

ผู้หญิงผู้ชายอวยพร – ในการประชุมครั้งแรกของการจับมือที่อบอุ่นจะพอเพียงและบางครั้งจะถูกรวมกับสัมผัสเล็กน้อยที่แขนและ / หรือข้อศอก เพื่อน andfamily มักจะจูบในแต่ละแก้ม

http://guide.culturecrossing.net/basics_business_student_details.php?Id=7&CID=82

 

2.CROATIA จูบอากาศ

Men greeting Men – A firm handshake is the norm when first meeting and in a formal or business situation, and even when you just run into someone you know in the street.

Women greeting Women – A handshake is common on first meeting and in formal or business situations. Light kisses (or “air-kisses” where you just touch cheeks and kiss the air) on both cheeks are the norm for greeting friends.
Greetings between Men and Women – A handshake is common on first meeting and in formal or business situations.  Light kisses (or “air-kisses” where you just touch cheeks and kiss the air) on both cheeks are the norm for greeting good friends Hugs are common between good friends and family.

Note: Usually in Zagreb, the term “Bok” is used as a verbal greeting. This is used for hello and goodbye, same for men to women, women to women etc.

ผู้ชายทักทายชาย – จับมือ บริษัท เป็นบรรทัดฐานในตอนแรกที่การประชุมและในสถานการณ์ที่เป็นทางการหรือธุรกิจ, และแม้กระทั่งเมื่อคุณเพียงแค่ทำงานเป็นคนที่คุณรู้จักในถนน ผู้หญิงทักทายผู้หญิง – จับมือเป็นเรื่องธรรมดาในการประชุมครั้งแรกและในสถานการณ์ที่เป็นทางการหรือธุรกิจ จูบแสง (หรือ “อากาศจูบ” ที่คุณเพียงแค่สัมผัสแก้มและจูบอากาศ) บนแก้มทั้งสองเป็นบรรทัดฐานสำหรับทักทายเพื่อน ๆ ทักทายระหว่างชายและหญิง – จับมือเป็นเรื่องธรรมดาในการประชุมครั้งแรกและในสถานการณ์ที่เป็นทางการหรือธุรกิจ จูบแสง (หรือ “อากาศจูบ” ที่คุณเพียงแค่สัมผัสแก้มและจูบอากาศ) บนแก้มทั้งสองเป็นบรรทัดฐานสำหรับทักทายเพื่อน Hugs ที่ดีร่วมกันระหว่างเพื่อนที่ดีและ family.Note: โดยปกติในซาเกร็บ, คำว่า “บก” เป็น ใช้เป็นคำทักทายด้วยวาจา นี้จะใช้สำหรับสวัสดีและลาเดียวกันสำหรับผู้ชายกับผู้หญิง

http://guide.culturecrossing.net/basics_business_student_details.php?Id=7&CID=52

 

3.CZECH REPUBLIC จับมือ

Man greeting Man – Men shake hands when greeting one another while maintaining direct eye contact.  A firm but fairly brief handshake is the norm. With friends, a simple hello or nod of acknowledgment will suffice.  Good friends and family may engage in a light hug or exchange pats on the back.
Woman greeting Woman– At a first meeting, a simple hello or nod of acknowledgment will do.  In business and more formal situations shaking hands while maintaining direct eye contact is common. Between good friends and family light hugs and exchanging a kiss on each cheek is common.
Greetings between Men & Women– At a first meeting, a simple hello or nod of acknowledgment will do. In business and more formal situations shaking hands while maintaining direct eye contact is common. It’s best to wait for the women to offer her hand first. Good friends and family may engage in a light hug or a kiss on each cheek.

Man Man อวยพร – ผู้ชายจับมือทักทายเมื่ออีกคนหนึ่งขณะที่ยังคงเข้าตาโดยตรง บริษัท แต่ค่อนข้างสั้น ๆ จับมือกันเป็นบรรทัดฐาน กับเพื่อนทักทายง่ายหรือพยักหน้ารับทราบจะพอเพียง เพื่อนที่ดีและครอบครัวอาจมีส่วนร่วมในที่มีแสงกอดหรือแลกเปลี่ยน pats บน back.Woman ทักทาย

 Woman- ในการประชุมครั้งแรกทักทายง่ายหรือพยักหน้ารับทราบจะทำ ในธุรกิจและสถานการณ์ที่เป็นทางการมากขึ้นจับมือขณะที่ยังคงเข้าตาโดยตรงเป็นเรื่องธรรมดา ระหว่างเพื่อนที่ดีและกอดแสงครอบครัวและแลกเปลี่ยนจูบในแต่ละแก้มเป็น common.Greetings ระหว่างผู้ชาย

http://guide.culturecrossing.net/basics_business_student_details.php?Id=7&CID=55

 

4.NETHERLANDS จูบ

Men greeting Men – Men shake hands when greeting one another while maintaining direct eye contact.  Good friends and family may include a light hug or pat on the back.
Women greeting Women– Light kisses on the cheeks tend to be the most common form of greeting for friends and family.  These are light touching of cheeks rather than actual kisses. Three alternating cheek kisses tend to be the norm. At a first meeting, women generally shake hands.
Greetings between Men & Women– Light kisses on the cheeks are the most common form of greeting for friends and family.  Three alternating cheek kisses tend to be the norm. At a first meeting a regular handshake will do.

 ผู้ชายจับมือกันเมื่อทักทายกันและกัน เพื่อนที่ดีและครอบครัวอาจรวมถึงกอดเบาหรือตบหลัง

 ผู้หญิงอวยพรให้ผู้หญิง – การจูบเบา ๆ บนแก้มมักจะเป็นรูปแบบคำทักทายที่ดีที่สุดสำหรับเพื่อนและครอบครัว นี่คือการสัมผัสกับแก้มเบา ๆ แทนที่จะเป็นจูบที่แท้จริง สามจูบแก้มสลับมักจะเป็นบรรทัดฐาน ในการประชุมครั้งแรกผู้หญิงมักจับมือกันคำทักทายระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง – การจูบเบา ๆ บนแก้มเป็นรูปแบบคำทักทายที่พบมากที่สุดสำหรับเพื่อนและครอบครัว สามจูบแก้มสลับมักจะเป็นบรรทัดฐาน ในการประชุมครั้งแรกการจับมือเป็นประจำจะทำ

http://guide.culturecrossing.net/basics_business_student_details.php?Id=7&CID=146

5.NORWAY  จับมือ

Man greeting Man – Men shake hands when greeting one another while maintaining direct eye contact.  A firm but fairly brief handshake is the norm. With friends, a simple hello will suffice.  If you have not seen someone in a long time, a hug is common.

Woman greeting Woman– At a first meeting, women generally shake hands while maintaining direct eye contact. With friends, a simple hello will suffice.  If you have not seen someone in a long time, a hug is common.
Man greeting Woman– At a first meeting a regular handshake will do. Good friends may engage in a light hug or a single cheek kiss.

Man Man อวยพร – ผู้ชายจับมือทักทายเมื่ออีกคนหนึ่งขณะที่ยังคงเข้าตาโดยตรง บริษัท แต่ค่อนข้างสั้น ๆ จับมือกันเป็นบรรทัดฐาน กับเพื่อนทักทายง่ายจะพอเพียง หากคุณยังไม่เคยเห็นใครบางคนในเป็นเวลานานกอดเป็นเรื่องธรรมดา ผู้หญิงทักทาย Woman- ในการประชุมครั้งแรกที่ผู้หญิงทั่วไปจับมือขณะที่ยังคงเข้าตาโดยตรง กับเพื่อนทักทายง่ายจะพอเพียง หากคุณยังไม่เคยเห็นใครบางคนในเป็นเวลานานกอดเป็นเรื่องธรรมดา ผู้ชายทักทาย Woman- ในการประชุมครั้งแรกของการจับมือเป็นประจำจะทำ เพื่อนที่ดีอาจจะมีส่วนร่วมในอ้อมกอดแสงหรือจูบแก้มเดียว

http://guide.culturecrossing.net/basics_business_student_details.php?Id=7&CID=155

 

6.SERBIA  จับมือ

Man greeting Man – Men shake hands when greeting one another and maintain direct eye contact.  A relatively firm handshake is the way to go.  Light hugs are common between good friends and family.
Woman greeting Woman – A kiss on each cheek is common if two women know each other.  A light handshake is the norm if they are meeting for the first time.
Greeting between Men & Women – At a first meeting a handshake will do. A kiss on each cheek is common between good friends.

ผู้ชายจับมือกันเมื่อทักทายอีกฝ่ายและรักษาสายตาโดยตรง การจับมือที่ค่อนข้างแน่นเป็นวิธีที่จะไป การกอดกันระหว่างเพื่อนที่ดีและครอบครัวผู้หญิงคนที่ทักทายผู้หญิง – การจูบที่แก้มแต่ละครั้งเป็นเรื่องปกติถ้าผู้หญิงสองคนรู้จักกัน การจับมือแบบเบาเป็นบรรทัดฐานถ้าพวกเขากำลังประชุมเป็นครั้งแรกคำทักทายระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง – ในการประชุมครั้งแรกจะมีการจับมือกัน การจูบที่แก้มแต่ละครั้งเป็นเรื่องปกติระหว่างเพื่อนที่ดีhttp://guide.culturecrossing.net/basics_business_student_details.php?Id=7&CID=235

 

7.DENMARK จับมือ

Man greeting Man – Men shake hands when greeting one another while maintaining direct eye contact.  A firm but fairly brief handshake is the norm. With friends, a simple hello will suffice.
Woman greeting Woman – At a first meeting, women generally shake hands while maintaining direct eye contact. Between good friends, a single kiss on the cheek is becoming more and more common.  If you have not seen someone in a long time, a light hug is common.
Greetings between Men & Women – At a first meeting a regular handshake will do. With friends and people that you see often, a simple hello will suffice. Good friends may engage in a single kiss on the cheek.  This tends to be more common for younger generations.

ผู้ชายจับมือกันเมื่อทักทายกันและกัน การจับมือแน่น แต่ค่อนข้างสั้นเป็นบรรทัดฐาน กับเพื่อนสวัสดีง่ายๆจะพอเพียง ผู้หญิงคนที่ทักทายผู้หญิง – ในการประชุมครั้งแรกผู้หญิงมักจับมือขณะที่ยังคงติดต่อสายตาอยู่ ระหว่างเพื่อนที่ดีจูบเดียวที่แก้มกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น หากคุณไม่ได้เห็นใครบางคนในระยะเวลาอันยาวนานการกอดเบา ๆ เป็นเรื่องปกติ คำทักทายระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง – ในการประชุมครั้งแรกการจับมือเป็นประจำจะทำอย่างไร กับเพื่อน ๆ และคนที่คุณเห็นบ่อย ๆ สวัสดีก็พอเพียง เพื่อนที่ดีอาจมีส่วนร่วมในการจูบเดียวที่แก้ม นี้มีแนวโน้มที่จะพบบ่อยสำหรับคนรุ่นใหม่

http://guide.culturecrossing.net/basics_business_student_details.php?Id=7&CID=56

 

 

การออกแบบนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้

6.1 ความหมาย การออกแบบนวัตกรรมการศึกษา

“นวัตกรรมการศึกษา” (Educational Innovation) คือ การนำสิ่งใหม่ๆ ซึ่งอาจจะเป็นความคิด วิธีการ หรือการกระทำ หรือสิ่งประดิษฐ์ขึ้น ทั้งในส่วนที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงจากสิ่งที่มีอยู่แต่เดิม ให้ดีขึ้น โดยอาศัยหลักการ ทฤษฎี ที่ได้ผ่านการทดลองวิจัยจนเชื่อถือได้นำมาใช้บังเกิดผลเพิ่มพูนประสิทธิภาพต่อการเรียนรู้

  1. 2 ประเภทนวัตกรรมการศึกษา

  2. นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร เป็นการใช้วิธีการใหม่ๆในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น  และตอบสนองความต้องการสอนบุคคลให้มากขึ้น  เนื่องจากหลักสูตรจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ  เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจและสังคมของประเทศและของโลก  นวัตกรรมทางด้านหลักสูตรได้แก่  การพัฒนาหลักสูตรบูรณาการ  หลักสูตรรายบุคคล  หลักสูตรกิจกรรมและประสบการณ์   และหลักสูตรท้องถิ่น

  3. นวัตกรรมการเรียนการสอน เป็นการใช้วิธีระบบในการปรับปรุงและคิดค้นพัฒนาวิธีสอนแบบใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองการเรียนรายบุคคล  การสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง  การเรียนแบบมีส่วนร่วม  การเรียนรู้แบบแก้ปัญหา  การพัฒนาวิธีสอนจำเป็นต้องอาศัยวิธีการและเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาจัดการและสนับสนุนการเรียนการสอน

  4. นวัตกรรมสื่อการสอน เนื่องจากมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครือข่ายและเทคโนโลยีโทรคมนาคม     ทำให้นักการศึกษาพยายามนำศักยภาพของเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในการผลิตสื่อการเรียนการสอนใหม่ๆ จำนวนมากมาย  ทั้งการเรียนด้วยตนเอง การเรียนเป็นกลุ่ม และการเรียนแบบมวลชน  ตลอดจนสื่อที่ใช้เพื่อสนับสนุนการฝึกอบรมผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์

  5. นวัตกรรมทางด้านการประเมินผล เป็นนวัตกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการวัดผลและประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ  และทำได้อย่างรวดเร็ว  รวมไปถึงการวิจัยทางการศึกษา  การวิจัยสถาบัน ด้วยการประยุกต์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มาสนับสนุนการวัดผล  ประเมินผลของสถานศึกษา ครู อาจารย์

  6. นวัตกรรมการบริหารจัดการ เป็นการใช้นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารสนเทศมาช่วยในการบริหารจัดการ เพื่อการตัดสินใจของผู้บริหารการศึกษา   ให้มีความรวดเร็วทันเหตุการณ์  ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก นวัตกรรมการศึกษาที่นำมาใช้ทางด้านการบริหารจะเกี่ยวข้องกับระบบการจัดการฐานข้อมูลในหน่วยงานสถานศึกษา

6.3 แนวคิด ทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อการออกแบบนวัตกรรม

มนุษย์สามารถรับข้อมูลโดยผ่านเส้นทางการรับรู้ 3 ทาง คือ

1.พฤติกรรมนิยม (Behaviorism)

พฤติกรรมนิยมมองผู้เรียนเหมือนกับ กระดานชนวนที่ว่างเปล่าผู้สอนเตรียม ประสบการณ์ให้กับผู้เรียน เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ผู้เรียน อาจ กระทำซ้ำจนกลายเป็นพฤติกรรม ผู้เรียนทำในสิ่งที่พวกเขาได้รับฟังและจะไม่ทำการคิดริเริ่มหา หนทางด้วยตนเองต่อการเปลี่ยนแปลง หรือพัฒนาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่ง ต่างๆ ให้ดีขึ้น

2.ปัญญานิยม (Cognitivism)

ปัญญานิยมอยู่บนฐานของกระบวนการคิดก่อน แสดงพฤติกรรม การเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมที่จะถูกสังเกต สิ่งเหล่านั้น มันก็เป็นเพียงแต่การบ่งชี้ว่าสิ่งนี้ กำลังดำเนินต่อไปในสมองของผู้เรียน เท่านั้น ทักษะใหม่ๆ ที่จะทำ การสะท้อนส่งออกมา กระบวนการประมวลผลข้อมูลสารสนเทศทางปัญญา

3.การสร้างสรรค์องค์ความรู้ด้วยปัญญา (Constructivism)

การสร้างสรรค์ความรู้ด้วยปัญญาอยู่บนฐานของ การอ้างอิงหลักฐานในสิ่งที่พวกเราสร้างขึ้นแสดงให้ปรากฏแก่สายตาของ เราด้วยตัวของเราเอง และอยู่บนฐานประสบการณ์ของแต่ละบุคคล องค์ความรู้จะถูกสร้างขึ้นโดยผู้เรียนและโดยเหตุผลที่ทุกคนต่างมีชุดของประสบการณ์ต่างๆ ของการเรียนรู้จึงมีลักษณะเฉพาะตน และมี ความแตกต่างกันไปในแต่ละคน
6.4 แนวคิด และกระบวนการออกแบบนวัตกรรมการศึกษา

  1. กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้เมื่อครูได้วิเคราะห์สาเหตุของปัญหาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนแล้ว ก็ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียนนั้นคือ กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ต้องการให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนตามเป้าหมายของหลักสูตร เช่น ความสามารถในกระบวนการแก้ปัญหา ความสามารถในทักษะกระบวนการสร้างค่านิยม

  2. กำหนดกรอบแนวคิดของกระบวนการเรียนรู้เมื่อได้กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้แล้ว ครูควรศึกษาค้นคว้าหลักวิชาการ แนวคิดทฤษฎีผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับจุดประสงค์ในการพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียน และนำมาผสมผสานกับความคิดและประสบการณ์ของตนเอง กำหนดเป็นกรอบแนวคิดของกระบวนการเรียนรู้ขึ้นเพื่อจัดสร้างเป็นต้นแบบนวัตกรรมขึ้น เพื่อใช้แก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน

  3. สร้างต้นแบบนวัตกรรม

เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะเลือกจัดทำนวัตกรรมชนิดใดครูผู้ต้องศึกษาวิธีการจัดทำนวัตกรรมชนิดนั้น ๆ อย่างละเอียด เช่น จะจัดทำบทเรียนสำเร็จรูปในรายวิชาหนึ่ง ต้องศึกษาค้นคว้าวิธีการจัดทำบทเรียนสำเร็จรูปว่ามีวิธีการจัดทำอย่างไรจากเอกสารตำราที่เกี่ยวข้อง แล้วจัดทำต้นแบบบทเรียนสำเร็จรูปให้สมบูรณ์ตามข้อกำหนดของวิธีการทำบทเรียนสำเร็จรูป

สำหรับเครื่องมือที่ต้องใช้ในการวัดผลสัมฤทธิ์หรือเครื่องมืออื่น ๆ ต้องมีการพัฒนาเครื่องมือตามวิธีการทางวิจัยด้วย การสร้างต้นแบบนวัตกรรมจะต้องนำไปทดลองใช้เพื่อหาประสิทธิภาพของนวัตกรรม ซึ่งมีขั้นตอนการหาประสิทธิภาพนวัตกรรม
6.5 การออกแบบ รายละเอียดนวัตกรรม

ในการออกแบบนวัตกรรมการเรียนรู้ประเภทสื่อการสอนผู้ออกแบบต้องคำนึงถึงดังนี้คือ

1.วัตถุประสงค์การเรียนรู้

2.ลักษณะผู้เรียน ความเหมาะสมกับวัย ความสนใจ ระดับชั้น ความรู้ ทักษะ

3.พื้นฐาน และประสบการณ์ของผู้เรียน

4.รูปแบบการเรียนการสอน และการเรียนรู้

5.ธรรมชาติเนื้อหาสาระการเรียนรู้ และวิธีการนำเสนอที่เหมาะสม

6.สภาพการเรียน

7.ทรัพยากรต่าง ๆ เช่น วัสดุอุปกรณ์ ครุภัณฑ์ งบประมาณ

8.ราคานวัตกรรมที่เหมาะสม

โครงสร้างของการออกแบบนวัตกรรม ดังนี้คือ

1.ชื่อนวัตกรรม ผู้พัฒนาควรตั้งชื่อนวัตกรรมให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และเข้าใจง่าย

2.วัตถุประสงค์ของนวัตกรรม การกำหนดวัตถุประสงค์ของนวัตกรรมให้ชัดเจนส่งผลให้ การพัฒนานวัตกรรมนั้น รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

3.ทฤษฎี หลักการ ในการออกแบบนวัตกรรม ผู้พัฒนาต้องพิจารณาทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ซึ่งทฤษฎีการเรียนรู้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะใช้ในการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา

4.ส่วนประกอบของนวัตกรรม ในการออกแบบนวัตกรรมผู้พัฒนาต้องพิจารณาส่วนประกอบของนวัตกรรม ว่ามีอะไรบ้าง

5.การนำนวัตกรรมไปใช้และประเมินผล เป็นส่วนที่แสดงความสำเร็จของนวัตกรรม ประกอบด้วย วิธีวัดผล เครื่องมือที่ใช้วัดผล และวิธีการประเมินผลประเภทของนวัตกรรมการเรียนการสอน เมื่อการเรียนการสอนมีลักษณะเป็นระบบ ประกอบด้วยตัวป้อน (Input) กระบวนการ (Process) และผลผลิต (Output) การนำนวัตกรรมมาใช้จัดการเรียนการสอนจึงมีจุดหมายที่จะปรับปรุงหรือเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบการเรียนการสอน

หลักการออกแบบสื่อเพื่อการเรียนรู้ ประกอบด้วย 9 ขั้นตอน ดังนี้

ขั้นตอนที่1 เร้าความสนใจ (Gain Attention)

ขั้นตอนที่2 บอกวัตถุประสงค์ (Specify Objectives)

ขั้นตอนที่ 3 ทวนความรู้เดิม (Activate Prior Knowledge)

ขั้นตอนที่4 การเสนอเนื้อหา (Present New Information)

ขั้นตอนที่ 5 ชี้แนวทางการเรียนรู้ (Guide Learning)

ขั้นตอนที่6 กระตุ้นการตอบสนอง (Elicit Responses)

ขั้นตอนที่ 7 ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Provide Feedback)

ขั้นตอนที่8 ทดสอบความรู้ (Access Performance)

ขั้นตอนที่9 การจำและนำไปใช้ (Promote Retention and Transfer)

ดังนั้นในการออกแบบนวัตกรรมการเรียนรู้ผู้ออกแบบต้องคำนึงถึงหลักการข้างต้น เพื่อให้นวัตกรรมนั้นสามารถนำมาใช้ได้ตรงตามวัตถุประสงค์หลัก คือเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในการเรียนการสอน และเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้มีประสอทธิภาพมากยิ่งขึ้น
6.6 การออกแบบ เครื่องมือศึกษาคุณภาพ และประสิทธิภาพนวัตกรรม

ขั้นตอนในการจัดทำเครื่องมือประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพของนวัตกรรมมีดังนี้

1 ศึกษาวัตถุประสงค์ของนวัตกรรมการเรียนการสอนที่สร้างขึ้น

2 กำหนดเครื่องมือที่ต้องใช้ประกอบการประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพ

3 ศึกษาแนวทางการสร้างเครื่องมือ

4 ออกแบบและสร้างเครื่องมือ

5 ตรวจสอบและผ่านการกลั่นกรองของผู้เชี่ยวชาญ

6 ศึกษาคุณภาพและประสิทธิภาพของเครื่องมือ

7 จัดทำเป็นเครื่องมือฉบับจริง
6.7 การออกแบบ การศึกษาคุณภาพ และประสิทธิภาพนวัตกรรม

  ขั้นการศึกษาคุณภาพของนวัตกรรมการเรียนการสอนดำเนินการดังนี้

  1. กลั่นกรองเบื้องต้นโดยให้ผู้เรียนและครูผู้สอนกลุ่มสาระนั้นอ่านเพื่อตรวจสอบข้อบกพร่อง และปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสม

  2. นำนวัตกรรมการเรียนการสอนที่ปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้วให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3-5 คน ประเมินเพื่อตรวจสอบคุณภาพ และให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงนวัตกรรม

3.วิเคราะห์ผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญเพื่อดูว่ามีคุณภาพอยู่ในระดับใด และปรับปรุงข้อบกพร่องตามข้อเสนอแนะ

  1. จัดทำเป็นนวัตกรรมการเรียนการสอนที่พร้อมสำหรับนำไปทดลองใช้

การศึกษาประสิทธิภาพของนวัตกรรมการเรียนการสอนดำเนินการดังนี้

นำนวัตกรรมการเรียนการสอนที่ผ่านการตรวจสอบและประเมินคุณภาพของผู้เชี่ยวชาญแล้ว ไปทดลองใช้กับผู้เรียนที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับกลุ่มเป้าหมายของการแก้ปัญหาหรือพัฒนา ตามรูปแบบและวิธีการที่กำหนด

นำผลการทดลองมาคำนวณหาประสิทธิภาพของนวัตกรรมการเรียนการสอนโดยใช้สูตร E1/E2
6.8 การออกแบบ เครื่องมือการนำนวัตกรรมไปใช้

          1)  ใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียน เรียนศิลปะโดยการหัดวาดรูป ใช้โปรแกรม Microsoft  Word  โปรแกรม  Microsoft   Excel  โปรแกรม  Microsoft    PowerPoint

       2)  ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ( Computer Assisted Instruction ) หรือ ( CAI ) เป็นกระบวนการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์นำเสนอเนื้อหาเรื่องราวต่าง ๆ  มีลักษณะเป็นการเรียนโดยตรง และเป็นการเรียนแบบมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive)

       3)  นักเรียนสามารถใช้ค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตศึกษาค้นคว้าข้อมูลในแต่ละกลุ่มสาระข่าวสารทางวิชาการอื่น  จากที่ต่าง ๆ

       4)  จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ( Electronic ) หรือ ( E-mail ) เพื่อใช้รับส่งข่าวสาร ข้อมูล รูปภาพ และส่งงานให้ครูตรวจในแต่ละกลุ่มสาระ

       5)   นำระบบ e-Learning มาใช้ในการเรียนการสอนในกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์

6.9 การออกแบบ เครื่องมือวัด ประเมินผลการใช้นวัตกรรม

          นวัตกรรมทางด้านการประเมินผล ได้แก่

– การพัฒนาคลังข้อสอบ

– การลงทะเบียนผ่านทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต

– การใช้บัตรสมาร์ทการ์ด เพื่อการใช้บริการของสถาบันศึกษา

– การใช้คอมพิวเตอร์ในการตัดเกรด

6.10 การออกแบบ การนำนวัตกรรมไปใช้

1.เพื่อนำนวัตกรรมมาใช้แก้ปัญหาในเรื่องการเรียนการสอน  เช่น

1.1  ปัญหาเรื่องวิธีการสอน ปัญหาที่มักพบอยู่เสมอ คือ ผู้สอนส่วนใหญ่ยังคงยึดรูปแบบการสอนแบบบรรยาย โดยมีครูเป็นศูนย์กลางมากกว่าการสอนในรูปแบบอื่น การสอนด้วยวิธีการแบบนี้เป็นการสอนที่ขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในบั้นปลาย เพราะนอกจากจะทำให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่ายขาดความสนใจแล้ว ยังเป็นการปิดกั้นความคิดและสติปัญญาของผู้เรียนให้อยู่ในขอบเขตจำกัดอีกด้วย

1.2  ปัญหาด้านเนื้อหาวิชาบางวิชาเนื้อหามากและบางวิชามีเนื้อหาเป็นนามธรรมยากแก่การเข้าใจ จึงจำเป็นจะต้องนำเทคนิคการสอนและสื่อมาช่วย

1.3  ปัญหาด้านการวัดและประเมินผล เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำครูผู้สอนนำไปใช้ในการปรับกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นหรือใช้ผลการประเมินเป็นข้อมูลย้อนกลับในการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนได้

1.4  ปัญหาเรื่องอุปกรณ์การสอน บางเนื้อหามีสื่อการสอนเป็นจำนวนน้อยไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้เพื่อทำให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาวิชาได้ง่ายขึ้นจึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาคิดค้นหาเทคนิควิธีการสอน   และผลิตสื่อการสอนใหม่ ๆ เพื่อนำมาใช้ทำให้การเรียนการสอนบรรลุเป้าหมายได้

  1. เพื่อนำนวัตกรรมไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน การสร้างองค์ความรู้ใหม่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาโดยการนำสิ่งประดิษฐ์หรือแนวความคิดใหม่ ๆ ในการเรียนการสอนนั้นเผยแพร่ไปสู่ครู – อาจารย์ท่านอื่นๆ หรือเพื่อเป็นตัวอย่างอีกรูปแบบหนึ่งให้กับครู – อาจารย์ที่สอนในวิชาเดียวกันได้นำแนวความคิดไปปรับปรุงใช้หรือผลิตสื่อการสอนใหม่ ๆ เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนต่อไป

  2. การนำนวัตกรรมไปใช้เป็นผลงานทางวิชาการ นวัตกรรมการเรียนรู้นอกจากจะเป็นประโยชน์ในด้านการปรับปรุงและพัฒนางานหรือการจัดการเรียนการสอนแล้ว ยังเป็นประโยชน์ ต่อการพัฒนาวิชาชีพอีกด้วย โดยผู้สร้างนวัตกรรมสามารถนำผลจากการนำนวัตกรรมไปใช้เป็นผลงานวิชาการเพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะ หรือปรับตำแหน่งให้สูงขึ้นได้

  3. 6.11 การออกแบบ การวัด ประเมินผลการใช้นวัตกรรม

ระดับคุณภาพของนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เป็นลักษณะของนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ตามตัวบ่งชี้ มีระดับคุณภาพ 3 ระดับ คือ

 ระดับ 3 คุณภาพดีมาก ( มีค่าคะแนนระหว่าง 2.33 – 3.00 )

 ระดับ 2 คุณภาพดี ( มีค่าคะแนนระหว่าง 1.67 – 2.32 )

 ระดับ 1 คุณภาพพอใช้ ( มีค่าคะแนนระหว่าง 1.00 – 1.66 )

ในการประเมินนวัตกรรม ควรเลือกใช้วิธีการประเมินที่เหมาะสมกับ

 สิ่งที่ต้องการประเมิน ดังนี้

  1. ตรวจสอบเอกสารรายงานผลการพัฒนานวัตกรรม

  2. สังเกต และตรวจสอบข้อมูลจากการนำเสนอผลงานของผู้คิดค้น

  3. 6.12 การออกแบบ การเขียนรายงานการพัฒนานวัตกรรม

การเขียนรายงานผลการพัฒนานวัตกรรมแบ่งการเขียนออกเป็น 5 บท ดังนี้

บทที่ 1 บทนำ นำเสนอรายละเอียดตามหัวข้อต่อไปนี้

  – ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา

  – วัตถุประสงค์ของการทดลอง

  – สมมุติฐานของการทดลอง

– ขอบเขตของการทดลอง

– ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

 – นิยามศัพท์

  บทที่ 2 การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นำเสนอแนวคิด หลักการ ทฤษฎี และผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องที่นำมาใช้ในการพัฒนานวัตกรรม ดังนี้

 – หลักการ แนวคิด ทฤษฎี ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานวัตกรรม

 – ผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานวัตกรรม

 – หลักการ แนวคิด ทฤษฎี และผลการวิจัยที่นำมาใช้พัฒนานวัตกรรมในกลุ่มสาระ/วิชาที่คิดค้นและสร้างนวัตกรรมการเรียนการสอน

 บทที่ 3 วิธีดำเนินการสร้างและทดลองใช้นวัตกรรมการเรียนการสอน

 – วัตถุประสงค์ของการทดลอง

 – สมมุติฐานของการทดลอง

 – ประชากรที่ใช้ในการทดลอง

 – กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลอง

 – นวัตกรรมและเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง

 – การสร้างนวัตกรรมและเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง

 – การดำเนินการทดลอง

– การวิเคราะห์ผลการทดลอง

 – สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ผลการทดลอง

 บทที่ 4 การวิเคราะห์ข้อมูลและผลการวิเคราะห์ข้อมูล

เป็นการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล โดยนำเสนอในรูปของตาราง กราฟ หรือบรรยาย ตามวัตถุประสงค์ของการทดลองที่กำหนดในบทที่ 1

บทที่ 5 การสรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ

  – สรุปผลการวิจัย นำเสนอวัตถุประสงค์ ขั้นตอนการดำเนินงาน และผลการวิจัยโดยสรุป ให้เห็นภาพของการดำเนินการสร้างและพัฒนานวัตกรรมตลอดแนว

 – อภิปรายผลการวิจัย นำผลที่เกิดขึ้นจากการวิจัยมานำเสนอให้เห็นภาพรวมที่เป็นผลน่าพอใจ สิ่งที่เป็นข้อสังเกต โดยอ้างอิงหลักการ ทฤษฎีและผลการวิจัยที่สอดคล้องประกอบการอภิปรายอย่างเหมาะสม

 – ข้อเสนอแนะ นำเสนอสิ่งที่ควรดำเนินการต่อเนื่อง หรือพัฒนาผลการวิจัยอย่างต่อเนื่อง ที่จะทำให้เกิดคุณภาพในการพัฒนาอย่างเด่นชัด
6.13 การออกแบบ การเผยแพร่นวัตกรรม

หลังจากพิสูจน์ผลชัดเจนว่านวัตกรรมการเรียนการสอนที่คิดค้นและพัฒนานั้น สามารถแก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนการสอนได้อย่างแท้จริงและได้นำเสนอผลการทดลองใช้ออกมาเป็นรายงานที่ถูกต้องแล้ว ควรเผยแพร่ผลการพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนอย่างกว้างขวางเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาการจัดการศึกษา

แหล่งเรียนรู้และเครือข่าย เพื่อการเรียนรู้

5.1 ความหมายแหล่งเรียนรู้

แหล่งเรียนรู้ หมายถึง แหล่งข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศ และประสบการณ์ ที่สนับสนุนส่งเสริมให้ผู้เรียนใฝ่เรียน ใฝ่รู้ แสวงหาความรู้และเรียนรู้ด้วยตนเองตามอัธยาศัย อย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้ และเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้
5.2 แหล่งเรียนรู้ที่สำคัญ 

  1. แหล่งการศึกษาตามอัธยาศัย
  2. แหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต
  3. แหล่งปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน การศึกษาค้นคว้า แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
  4. แหล่งสร้างเสริมประสบการณ์ภาคปฏิบัติ
  5. แหล่งสร้างเสริมความรู้ ความคิด วิทยาการและประสบการณ์

5.3 ความหมายเครือข่ายการเรียนรู้

เครือข่ายการเรียนรู้ (Learning Network) หมายถึง การแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด ข้อมูลข่าวสาร ประสบการณ์ และการเรียนรู้ระหว่างบุคคล กลุ่มบุคคล องค์การ และแหล่งความรู้ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จนเป็นระบบที่เชื่อมโยงกัน ส่งผลให้เกิดการเผยแพร่และการประยุกต์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ทางวิชาชีพหรือทางสังคม

5.4 ความหมาย เครือข่ายการเรียนรู้ส่วนบุคคล 

การเรียนรู้ของบุคคลจึงเป็นกระบวนการที่แต่ละบุคคลต้องดำเนินการเอง เพราะกระบวนการสร้างความหมายเป็นกระบวนการเฉพาะตน ตระหนักถึงปัญหาและการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการสร้างเสริมประสบการณ์ การถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกัน จนทำให้เกิดการเรียนรู้
5.5 ประเภทแหล่งเรียนรู้และเครือข่ายการเรียนรู้

  1. จัดตามลักษณะของแหล่งการเรียนรู้

1.1 แหล่งการเรียนรู้ตามธรรมชาติ เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะหาความรู้ได้จากสิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ เช่น แม่น้า ภูเขา ป่าไม้ ลาธาร กรวด หิน ทราย ชายทะเล เป็นต้น

1.2 แหล่งการเรียนรู้ที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อสืบทอดศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนเทคโนโลยีทางการศึกษาที่อานวยความสะดวกแก่มนุษย์เช่น โบราณสถาน พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุดประชาชน สถาบันการศึกษา สวนสาธารณะ ตลาด บ้านเรือน ที่อยู่อาศัย สถานประกอบการ เป็นต้น

1.3 บุคคล เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ถ่ายทอดความรู้ความสามารถ คุณธรรม จริยธรรม การสืบสานวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น ทั้งด้านประกอบอาชีพ ตลอดจนนักคิด นักประดิษฐ์ และผู้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

  1. จัดตามแหล่งที่ตั้งของแหล่งการเรียนรู้

2.1 แหล่งการเรียนรู้ในโรงเรียน เดิมมีแหล่งการเรียนรู้หลัก คือ ครู อาจารย์ ต่อมามีการพัฒนาเป็นห้องปฏิบัติการต่างๆ เช่น ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ห้องปฏิบัติการทางภาษา ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ห้องโสตทัศนศึกษา ห้องจริยธรรม ห้องศิลปะ ตลอดจนอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน เช่น ห้องอาหาร สนาม ห้องน้า สวนดอกไม้ สวนสมุนไพร แหล่งน้าในโรงเรียน เป็นต้น

2.2 แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่นครอบคลุมทั้งด้านสถานที่และบุคคล ซึ่งอาจอยู่ในท้องถิ่นใกล้เคียงโรงเรียน ท้องถิ่นที่โรงเรียนพาผู้เรียนไปเรียนรู้ เช่น แม่น้า ภูเขา ชายทะเล สวนสาธารณะ สวนสัตว์ ทุ่งนา สวนผัก สวนผลไม้ วัด ตลาด ร้านอาหาร ห้องสมุดประชาชน สถานีตำรวจ สถานีอนามัย ดนตรีพื้นบ้าน การละเล่นพื้นเมือง แหล่งทอผ้า เทคโนโลยีชาวบ้าน เทคโนโลยีในชีวิตประจาวัน แหล่งข้อมูลข่าวสารต่างๆ

5.6 ตัวอย่างเครือข่ายการเรียนรู้

เครือข่ายไทยสาร เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงสถาบันการศึกษาต่างๆ ระดับมหาวิทยาลัยเข้าด้วยกันกว่า 50 สถาบัน เริ่มจัดสร้างในปีพ.ศ.2535

เครือข่ายยูนิเน็ต (UNINET) เป็นเครือข่ายเพื่อการเรียนการสอนที่สำคัญในยุคโลกา ภิวัตน์ จัดทำโดยทบวง มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2540

สคูลเน็ต (SchoolNet) เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทย ได้รับการดูแลและสนับสนุนโดยศูนย์ เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เครือข่ายนี้เชื่อมโยงโรงเรียนในประเทศไทยไว้กว่า 100 แห่ง และเปิดโอกาสให้โรงเรียนอื่นๆ และบุคคลที่สนใจเรียกเข้าเครือข่ายได้

เครือข่ายนนทรี เป็นเครือข่ายของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นับเป็นเครือข่ายที่สมบูรณ์แบบและใช้เทคโนโลยีชั้นสูง สามารถตอบสนองความต้องการใช้ของนิสิต อาจารย์ ข้าราชการ ตลอดจนการรองรับทางด้านทรัพยากรเซอร์เวอร์อย่างพอเพียง

เครือข่ายกระจายเสียงวิทยุ อสมท. จะรวมผังรายการวิทยุในเครือข่าย อสมท. มีไฟล์เสียงรับฟังทางอินเทอร์เน็ตได้.

เครือข่ายสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมือง เป็นเครือข่ายที่ใช้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นประเด็นต่าง ๆ ทางการเมือง และบทวิเคราะห์ด้านการเมือง

 ThaiSafeNet.Org เป็นเครือข่ายผู้ปกครองออนไลน์ มีพันธกิจด้านการเชื่อมโยงครู ผู้ปกครอง นักการศึกษา … โครงการพัฒนาเครือข่ายผู้ปกครองออนไลน์ พันธกิจ : ฝึกอบรมครู ผู้ปกครอง

 เครือข่ายพุทธิกา ( สนใจ ติดต่อสอบถาม : เครือข่ายพุทธิกา ) รวมตัวอย่างหนังสือ … เครือข่ายพุทธิกา : เพื่อพระพุทธศาสนาและสังคม 90 ซ.อยู่ออมสิน ถ.จรัญสนิทวงศ์ 40
5.7 ความสำคัญของแหล่งเรียนรู้และเครือข่ายการเรียนรู้

การเรียนรู้ตลอดชีวิตควรเริ่มจากการมีส่วนร่วมของบุคคล องค์กรและชุมชนในการตระหนักถึงปัญหาและการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการสร้างเสริมประสบการณ์ การถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกัน จนทำให้เกิดการเรียนรู้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ได้สรุปหลักการสำคัญของเครือข่ายการเรียนรู้ไว้ ดังนี้

๑. การกระตุ้นความคิด ความใฝ่แสวงหาความรู้ จิตสำนึกในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น และการมีส่วนร่วมในการพัฒนา

๒. การถ่ายทอด แลกเปลี่ยน การกระจายความรู้ทั้งในส่วนของวิทยากรสากลและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อสนับสนุนการสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ

๓. การแลกเปลี่ยนข่าวสารกับหน่วยงานต่างๆ ของทั้งในภาครัฐและเอกชน

๔. การระดมและประสานการใช้ทรัพยากรร่วมกัน เพื่อการพัฒนาและลดความซ้ำซ้อน สูญเปล่าให้มากที่สุด

 

 

การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการความรู้

4.1 ความแตกต่าง ข้อมูล สารสนเทศ ความรู้ ภูมิปัญญา

  ข้อมูล ประกอบด้วย ตัวหนังสือ ข้อเท็จจริง รูปภาพที่สื่อความหมายและรหัสตัวเลขต่างๆ ที่ปราศจากบริบทและยังไม่มีความหมาย

        สารสนเทศ หมายถึง หมายถึง ข้อมูลซึ่งเต็มไปด้วยบริบทและความหมาย ซึ่งรูปแบบและเนื้อหาของมันสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานได้หลังจากที่ได้ผ่านการจัดรูปแบ  จัดประเภทและประมวลผลแล้ว

        ความรู้ (Knowledge) ประกอบด้วย สาระ หลักการ และประสบการณ์ ซึ่งสามารถชี้แนะแนวทาง ในการดำเนินการ การบริหารงานการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ โดยความรู้ทำให้คนสามารถให้ความหมายแก่ข้อมูล และสร้างเป็นสารสนเทศได้ เมื่อมีความรู้ คนก็สามารถจะจัดการกับแห่งสารสนเทศที่มีอยู่และปฏิบัติงานได้อย่างชาญ ฉลาด

      ปัญญา (Wisdom) คือ ความรู้ ความเข้าใจ ที่สามารถประพฤติปฏิบัติได้ และสามารถใช้ความรู้ ความเข้าใจ ในแขนงวิชาหรือศาสตร์ใดใด เพื่อการทำงานหรือประกอบกิจกรรมใดใดก็ได้ เป็นทักษะ ความรู้ ความสามารถ ที่บุคคลบูรณาการการเรียนรู้ การสั่งสมประสบการณ์จนก่อให้เกิดความรู้ฝังลึกในบุคคลกลายเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ เป็นปราชญ์ชาวบ้าน หากบุคคลใดมีปัญญาสูงส่งย่อมเป็นบุคคลที่ต้องใช้ความเพียรอย่างสูง ตัวอย่างของผู้มีปัญญาขั้นสูงสุด คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสรู้ได้โดยพระองค์เอง พระศาสดาในศาสนาต่างๆ รวมทั้งพระอรหันต์ พระเกจิอาจารย์ นักปราชญ์ราชบัณฑิต ปราชญ์ชาวบ้าน เป็นต้น 
4.2 ประเภทความรู้

  1. ความรู้โดยนัยหรือความรู้ที่มองเห็นไม่ชัดเจน (Tacit Knowledge)

จัดเป็นความรู้อย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งเป็นทักษะหรือความรู้เฉพาะตัว ของแต่ละบุคคลที่มาจากประสบการณ์ ความเชื่อหรือความคิดสร้างสรรค์ในการปฏิบัติงาน เช่น การถ่ายทอดความรู้ ความคิด ผ่านการสังเกต การสนทนา การฝึกอบรม ความรู้ประเภทนี้เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้งานประสบความสำเร็จ เนื่องจากความรู้ประเภทนี้เกิดจากประสบการณ์ และการนำมาเล่าสู่กันฟัง ดังนั้น จึงไม่สามารถจัดให้เป็นระบบหรือหมวดหมู่ได้ และไม่สามารถเขียนเป็นกฎเกณฑ์หรือตำราได้ แต่สามารถถ่ายทอดและแบ่งปันความรู้ได้โดยการสังเกตและเลียนแบบ

  1. ความรู้ที่ชัดแจ้งหรือความรู้ที่เป็นทางการ (Explicit Knowledge)

เป็นความรู้ที่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และใช้ร่วมกันในรูปแบบต่างๆ เช่น สิ่งพิมพ์ เอกสารขององค์การ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เว็บไซต์ อินทราเน็ต ความรู้ประเภทนี้เป็นความรู้ที่แสดงออกมาโดยใช้ระบบสัญลักษณ์ จึงสามารถสื่อสารและเผยแพร่ได้อย่างสะดวก

4.3 ความหมายการจัดการความรู้

การจัดการความรู้ หรือเคเอ็ม (KM = Knowledge Management) คือ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด
4.4 แนวคิด ทฤษฎีการจัดการความรู้

การจัดการความรู้นับเป็นเรื่องใหม่ในสังคมไทย หลายองค์กรวางแผนที่จะนําการจัดการความรู้มาใช้ในองค์กร เพื่อนําพาองค์กรสู่ความสําเร็จ ผู้บริหารเป็นผู้ที่มีส่วนสําคัญที่จะผลักดันให้เกิดการจัดการความรู้ในองค์กร ผู้บริหารยุคใหม่จะต้องทราบหลักการและขั้นตอนการจัดการความรู้ รวมถึงปัญหาและปัจจัยสู่ความสําเร็จ ที่จะทําให้ผู้บริหารได้ตระหนักทราบถึงบทบาทของตนเองว่าควรทําอย่างไร จึงจะทําให้การบริหารจัดการความรู้ในองค์กรของตนประสบความสําเร็จ ทางสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติจึงได้กําหนด หลักสูตรพื้นฐานการจัดการความรู้ (KM Overview) ให้กับผู้บริหารและทีมงานการจัดการความรู้ เพื่อให้เข้าใจหลักการและขั้นตอนของการจัดการความรู้ และบทบาทของผู้บริหารต่อความสําเร็จของการจัดการความรู้

หลักสูตรการจัดการความรู้จากทฤษฎีสู่ปฏิบัติ (KM Implementation) เป็นการประชุมเชิงปฏิบัติการให้กับคณะทํางาน เพื่อให้เข้าใจหลักการและขั้นตอนของการจัดการความรู้ และนําความรู้ไปใช้เป็นแนวทางในการประเมินความพร้อมขององค์กร รวมทั้งกําหนดเป้าหมายและวางแผนในการดําเนินการในเรื่องการจัดการความรู้ในองค์กร ซึ่งเมื่อเข้าใจหลักการและวิธีการแล้วก็จะนําเข้าสู่การจัดทําแผนการจัดการความรู้ โดยสามารถศึกษารายละเอียดการจัดทําแผนการจัดการความรู้ได้จาก คู่มือการจัดทําแผนการจัดการความรู้นอกจากนี้ยังสามารถเข้ามาเรียนรู้ได้ด้วยตนเองในเรื่องการจัดการความรู้ จากรายละเอียดใน KM Tool Kitsเพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีและแนวคิดต่างๆ ทางด้านการจัดการความรู้การจัดการ (management) เป็นกระบวนการของการวางแผน การอํานวยการและ การควบคุม เพื่อให้งานนี้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ซึ่ง ชุ

ชาติ ประชากล (2513, หน้า 4-6) ได้อธิบายว่า:

 ประการแรก คือ การวางแผน การตั้งนโยบายของกลุ่ม วางวัตถุประสงค์และโครงการสําหรับอนาคต

 ประการที่สอง คือ การจัดมอบหมายความรับผิดชอบเฉพาะอย่างให้กับแผนกต่าง ๆ และระดับต่าง ๆทั้งทีมผู้ทํางาน การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ

 ประการที่สาม ได้แก่ การควบคุมงานนั้น คือ การนําทางและเป็นผู้ชี้แนะทางให้เกิดความสะดวกในการตรวจสอบการปฏิบัติงาน และโดยการควบคุมนี้ผู้จัดการสามารถ พบว่า ได้มีการทําอะไรบัางเพื่อตอบสนองต่อวัตถุประสงค์และการมอบหมายงาน การบริหาร หมายถึง ใช้ศาสตร์และศิลป์ในการนําเอาทรัพยากรการบริหาร (administrative resource) มาประกอบกันขึ้นให้เป็นไปตามกระบวนการทางการบริหาร (process of administration) เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.5 กระบวนและขั้นตอนการจัดการความรู้

1.การบ่งชี้ความรู้ เป็นการพิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้องค์กรบรรลุเป้าหมาย โดยจะคัดเลือกว่าจะใช้เครื่องมืออะไร และขณะนี้เรามีความรู้อะไรบ้าง อยู่ในรูปแบบใด อยู่ที่ใคร โดยอาจจะพิจารณาว่าองค์กรมีวิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์ เป้าหมายคืออะไร

2.การสร้างและแสวงหาความรู้ ซึ่งสามารถทำได้หลายทาง เช่น การสร้างความรู้ใหม่ แสวงหาความรู้จากภายนอก รักษาความรู้เก่า กำจัดความรู้ที่ใช้ไม่ได้แล้ว

3.การจัดความรู้ให้เป็นระบบ เป็นการวางโครงสร้างความรู้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเก็บความรู้อย่างเป็นระบบเพื่อการเรียกใช้งานได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องในอนาคต

4.การประมวลและกลั่นกรองความรู้ เช่น การปรับปรุงรูปแบบเอกสารให้เป็นมาตรฐาน ใช้ภาษาเดียวกัน และปรับปรุงเนื้อหาให้สมบูรณ์และเหมาะสม

5.การเข้าถึงความรู้ เป็นการทำให้ผู้ใช้ความรู้เข้าถึงความรู้ที่ต้องการได้ง่ายและสะดวก โดยการใช้พวกระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ(IT) หรือการประชาสัมพันธ์บน Web board

6.การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ ทำได้หลายวิธีการซึ่งจะแบ่งได้สองกรณีได้แก่ Explicit Knowledge อาจจะจัดทำเป็นเอกสาร ฐานความรู้ และเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ หรือ Tacit Knowledge จัดทำเป็นระบบ ทีมข้ามสายงาน กิจกรรมกลุ่มคุณภาพและนวัตกรรม ชุมชนแห่งการเรียนรู้ ระบบพี่เลี้ยง การสับเปลี่ยนงาน การยืมตัว และเวทีการแลกเปลี่ยนความรู้ เป็นต้น

7.การเรียนรู้ ควรทำให้การเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของงาน เช่น การเรียนรู้จากสร้างองค์ความรู้ การนำความรู้ไปใช้ให้เกิดการเรียนรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ และนำความรู้ที่ได้ไปหมุนเวียนต่อไปอย่างต่อเนื่อง
4.6 การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการความรู้ ในแต่ละขั้นตอน

ขั้นตอนที่ 1 คือ การถ่ายทอดความรู้ทางสังคม หมายความว่า เราเกิดเรียนรู้ทางสังคม เราก็มีการพูดคุยกับคนอื่น ทำให้เราเกิดความคิดความอ่านจากการที่เราเข้าสู่สังคม การที่เราได้เจอกัน มีการพูดคุยกันมีการแลกเปลี่ยน     อย่างนี้ถือว่าเป็นกระบวนการที่ 1 หรือการถ่ายทอดทางสังคม

ขั้นตอนที่ 2 คือ การถ่ายทอดความรู้จากประสบการณ์ ในเมื่อเรามีประสบการณ์ต่างๆ เราก็ต้องเอาประสบการณ์เรามาแชร์กับคนอื่น มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคนอื่นจะทำให้เกิดกระบวนการการเรียนรู้อย่างที่2

ขั้นตอนที่ 3 การเรียนรู้การอยู่ร่วมกัน คนเรานั้นไม่มีใครที่จะถูกทั้งหมดหรือผิดทั้งหมดแต่ว่าเรามีการเอาความรู้มารวมตัวกันและเอามาผสมผสานกัน ทำให้เราเกิดความคิดหรือไอเดียใหม่ๆที่จะเกิดทางนวัตกรรม

ขั้นตอนที่ 4 การถ่ายทอดความรู้ทางสมองมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เราต้องเป็นคนที่รู้จักคิดต่างๆ ในการจัดความรู้ต่างๆนั้นมาจากสมองของเราเรามีสิ่งประสบการณ์มาทั้ง3ขั้นตอนพอขั้นตอนที่ 4เราก็เอาขั้นตอนเหล่านั้นมาคิดเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของการจัดการความรู้
4.7 คุณค่า และประโยชน์ ของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการความรู้

เทคโนโลยีที่นํามาใช้ในการจัดการความรู้ขององค์กรนั้นประกอบด้วยเทคโนโลยีที่สามารถครอบคลุมกระบวนการต่างๆ ในการจัดการความรู้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ดังนั้นไอซีทีจึงมีบทบาทสําคัญในเรื่องของการจัดการความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอินเทอร์เน็ตที่เป็นเทคโนโลยีที่เชื่อมคนทั่วโลกเข้าด้วยกันทําให้กระบวนการแลกเปลี่ยนความรู้ (knowledge Transfer) ทําได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งไอซีทียังช่วยให้การนําเสนอสามารถเลือกได้หลายรูปแบบเช่นตัวอักษร รูปภาพ แอนนิเมชั่น เสียง วิดีโอ ซึ่งช่วยให้การเรียนรู้ ทําได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ไอซีทียังช่วยในการจัดเก็บและดูแลปรับปรุงความรู้และสารสนเทศต่างๆ (knowledge storage and maintenance) อีกทั้งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดําเนินการในกระบวนการจัดการความรู้ด้วย จึงนับได้ว่าไอซีทีเป็น เครื่องมือสนับสนุนและเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการจัดการความรู้

การนำเสนอรายงาน การตรวจสอบ ประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพของสื่อ นวัตกรรมการเรียนรู้

 

การตรวจสอบ ประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพของสื่อ นวัตกรรมการเรียนรู้

                                            จัดทำโดย

นางสาวทิพราภา ปรางมุข                     รหัส 5946702104

นางสาวธัญติญา ชอบประกอบกิจ          รหัส 5946702112

13. กฎหมายและจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสาร

การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง กระบวนการต่างๆ และระบบงานที่ช่วยให้ได้สารสนเทศหรือข่าวสารที่ต้องการ โดยจะรวมถึง

  1. เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้สำนักงาน อุปกรณ์คมนาคมต่างๆ รวมทั้งซอฟต์แวร์ทั้งระบบสำเร็จรูปและพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะด้าน

  2. กระบวนการในการนำอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ข้างต้นมาใช้งาน รวบรวมข้อมูล จัดเก็บประมวลผล และแสดงผลลัพธ์เป็นสารสนเทศในรูปแบบต่างๆ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป ในปัจจุบันการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกองค์กร การเชื่อมโยงสารสนเทศผ่านทางคอมพิวเตอร์ ทำให้สิ่งที่มีค่ามากที่สุดของระบบ คือ ข้อมูลและสารสนเทศ อาจถูกจารกรรม ถูกปรับเปลี่ยน ถูกเข้าถึงโดยเจ้าของไม่รู้ตัว ถูกปิดกั้นขัดขวางให้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ หรือถูกทำลายเสียหายไป ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ไม่ยากบนโลกของเครือข่าย โดยเฉพาะเมื่อยู่บนอินเทอร์เน็ต

ดังนั้นการมีคุณธรรม และจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีจึงเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน มีรายละเอียดดังนี้

1.ไม่ควรให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ

2.ไม่บิดเบือนความถูกต้องของข้อมูล ให้ผู้รับคนต่อไปได้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

3.ไม่ควรเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต

4.ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลกับผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต

5.ไม่ทำลายข้อมูล

6.ไม่เข้าควบคุมระบบบางส่วน หรือทั้งหมดโดยไม่ได้รับอนุญาต

7.ไม่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจว่าตัวเองเป็นอีกบุคคลหนึ่ง ตัวอย่างเช่น การปลอมอีเมล์ของผู้ส่งเพื่อให้ผู้รับเข้าใจผิด เพื่อการเข้าใจผิด หรือ ต้องการล้วงความลับ

8.การขัดขวางการให้บริการของเซิร์ฟเวอร์ โดยการทำให้มีการใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์จนหมด หรือถึงขีดจำกัดของมัน ตัวอย่างเช่น เว็บเซิร์ฟเวอร์ หรือ อีเมล์เซิร์ฟเวอร์ การโจมตีจะทำโดยการเปิดการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์จนถึงขีดจำกัดของเซิร์ฟเวอร์ ทำให้ผู้ใช้คนอื่นๆไม่สามารถเข้ามาใช้บริการได้

9.ไม่ปล่อย หรือ สร้างโปรแกรมประสงค์ร้าย (Malicious Program) ซึ่งเรียกย่อๆว่า (Malware) เป็นโปรแกรมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำการ ก่อกวน ทำลาย หรือทำความเสียหายระบบคอมพิวเตอร์ เครือข่าย โปรแกรมประสงค์ร้ายที่แพร่หลายในปัจจุบันคือ ไวรัส เวิร์ม และม้าโทรจัน

10.ไม่ก่อความรำคาญให้กับผู้อื่น โดยวิธีการต่างๆ เช่น สแปม (Spam) (การส่งอีเมลไปยังผู้ใช้จำนวนมาก โดยมีจุดประสงค์เพื่อการโฆษณา)

11.ไม่ผลิตหรือใช้สปายแวร์ (Spyware) โดยสปายแวร์จะใช้ช่องทางการเชื่อมต่อทางอินเตอร์เน็ตเพื่อแอบส่งข้อมูลส่วนตัวของผู้นั้นไปให้กับบุคคลหรือองค์กรหนึ่งโดยที่ผู้ใช้ไม่ทราบ

12.ไม่สร้างหรือใช้ไวรัส

 จริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

จริยธรรมและคุณธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมีเป็นจำนวนมากและเพิ่มขึ้นทุกวัน การใช้งานระบบเครือข่ายที่ออนไลน์และส่งข่าวสารถึงกันย่อมมีผู้ที่มีความประพฤติไม่ดีปะปนและสร้างปัญหาให้กับผู้ใช้อื่นอยู่เสมอ หลายเครือข่ายจึงได้ออกกฏเกณฑ์การใช้งานภายในเครือข่าย เพื่อให้สมาชิกในเครือข่ายของตนยึดถือ ปฏิบัติตามกฏเกณฑ์และได้รับประโยชน์สูงสุด ดังนั้น ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนที่เป็นสมาชิกเครือข่ายจะต้องเข้าใจกฏเกณฑ์ข้อบังคับของ เครือข่ายนั้นมีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้ร่วมใช้บริการคนอื่นและจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองที่เข้าไปขอใช้บริการต่างๆ บนเครือข่ายบนระบบคอมพิวเตอร์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเรียกเข้ามิได้เป็นเพียงเครือข่ายขององค์กรที่ผู้ใช้สังกัด แต่เป็นการเชื่อมโยงของเครือข่ายต่างๆ เข้าหากันหลายพันหลายหมื่นเครือข่ายมีข้อมูลข่าวสารอยู่ระหว่างเครือข่ายเป็นจำนวนมาก การส่งข่าวสารในเครือข่ายนั้นอาจทำให้ข่าวสารกระจายเดินทางไปยังเครือข่ายอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมากหรือแม้แต่การส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ฉบับหนึ่งก็อาจจะต้องเดินทางผ่านเครือข่ายอีกหลายเครือข่ายกว่าจะถึงปลายทาง ดังนั้นผู้ใช้บริการต้องให้ความสำคัญและตระหนักถึงปัญหาปริมาณข้อมูลข่าวสารที่วิ่งอยู่บนเครือข่ายการใช้งานอย่างสร้างสรรค์และเกิดประโยชน์จะทำให้สังคมอินเทอร์เน็ตน่าใช้และเป็นประโยชน์ร่วมกันอย่างดี กิจกรรมบางอย่างที่ไม่ควรปฏิบัติจะต้องหลีกเลี่ยงเช่นการส่งกระจายข่าวไปเป็นจำนวนมากบนเครือข่าย การส่งเอกสารจดหมายลูกโซ่ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะเป็นผลเสียโดยรวมต่อผู้ใช้และไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ต่อสังคมอินเทอร์เน็ต เพื่อให้การอยู่ร่วมกันในสังคมอินเทอร์เน็ตสงบสุข Arlene H.Rinaldi แห่งมหาวิทยาลัย ฟอร์ริดาแอตแลนติก จึงรวบรวมกฎกติกามารยาทและวางเป็นจรรยาบรรณอินเทอร์เน็ตหรือที่เรียกว่า Netiquette ไว้ดังนี้

จรรยาบรรณที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตยึดถือไว้เป็นบทการปฏิบัติเพื่อเตือนความจำ

  1. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายหรือละเมิดผู้อื่น

  2. ต้องไม่รบกวนการทำงานของผู้อื่น

  3. ต้องไม่สอดแนมหรือแก้ไขเปิดดูในแฟ้มของผู้อื่น

  4. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร

  5. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ

  6. ต้องไม่คัดลอกโปรแกรมผู้อื่นที่มีลิขสิทธิ์

  7. ต้องไม่ละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์

  8. ต้องไม่นำเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน

  9. ต้องคำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมอันติดตามมาจากการกระทำ

10.ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฎระเบียบ กติกามารยาท

จรรยาบรรณเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมอินเทอร์เน็ตเป็นระเบียบความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นเรื่องที่จะต้องปลูกฝังกฎเกณฑ์ของแต่ละเครือข่ายจึงต้องมีการวางระเบียบเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีระบบและเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน บางเครือข่ายมีบทลงโทษและจรรยาบรรณที่ชัดเจน เพื่อช่วยให้สังคมสงบสุขและหากการละเมิดรุนแรงกฎหมายก็จะเข้ามามีบทบาทได้เช่นกัน

กฎหมายและศีลธรรม (Motal) เป็นกฏเกณฑ์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรของสังคมมาช้านานเราพอเข้าใจได้ง่าย ๆ ว่า รัฐเป็นผู้ตรากฏหมายขึ้นเพื่อใช้บังคับพลเมืองในอาณาเขตของรัฐ ขณะศีลธรรมเป็นข้อบัญญัติทางศาสนาซึ่งเป็นหลักความเชื่อของประชาชน จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงาม สิ่งที่ไม่ควรทำ มีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคม เช่น คนที่ไม่ยอมเข้าแถวเพื่อขอรับบริการตามสิทธิ์ก่อนหลังอาจถือว่าไม่มีมารยาทหรือพนักงานคอมพิวเตอร์คนหนึ่งเอาข้อมูลทางการเงินของลูกค้าที่เขาจะต้องเห็นตามหน้าที่การงานไปหาผลประโยชน์แก่ตนเอง เช่น ขายรายชื่อนั้นให้ธุรกิจอื่น หรือบอกให้แก่คู่สมรสซึ่งเป็นพนักงานขายตรงไปเสนอขายสินค้า การกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง ไม่มีจริยธรรม จริงอยู่ แม้ว่าบริษัทที่พนักงานผู้นั้นทำงานอยู่จะไม่เสียหาย แต่การนำเอาของบริษัทไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้อย่างเปิดเผย หรือพนักงานขายสินค้าของทางบริการหนึ่งซึ่งลาออกจากบริษัทเพื่อไปทำงานกับบริษัทคู่แข่งแล้วใช้ประโยชน์จากความรู้ในเรื่องข้อมูลราคาหรือความลับทางการค้าของบริษัทแรกไปให้บริษัทหลัง ก็อาจเรียกได้ว่าพนักงานคนนั้นไม่มีจริยธรรม เมื่อสังคมสลับซับซ้อนขึ้น มีการแบ่งหน้าที่กันออกเป็นหน้าที่ต่าง ๆ จึงมีข้อกำหนดที่เรียกว่า “จรรยาวิชาชีพ” (Code of Conduct) ขึ้น เพื่อใช้เป็นหลักปฏิบัติของคนในอาชีพนั้น ๆ เราคงเคยได้ยิน จรรยาบรรณของแพทย์ ที่จะไม่เปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวของคนไข้ จรรยาบรรณของนักหนังสือพิมพ์ที่รับเงินทองสิ่งตอบแทนเพื่อเสนอข่าวหรือไม่เสนอข่าวไม่เปิดเผยแหล่งข่าวถ้าแหล่งข่าวไม่ต้องการจรรยาบรรณวิชาชีพของสถาปนิกหรือวิศวกรผู้ออกแบบที่ต้องไม่รับผลประโยชน์ใด ๆ จากผู้ขายอุปกรณ์ที่ใช้ในงานที่เขาออกแบบ ซึ่งขายให้กับผู้ว่าจ้างงานชิ้นนั้นเพราะเขาได้รับปลตอบแทนจากผู้ว่าจ้างแล้ว จรรยาบรรณของวิชาชีพใด ก็มักกำหนดขึ้นโดยสมาคมวิชาชีพนั้น โดยมีข้อกำหนด บทลงโทษที่นอกเหนือไปจากกฏหมายบ้านเมือง เช่น เพิกถอนสมาชิกภาพ เพิกถอนหรือพักใบประกอบวิชาชีพ และอาจมีกฏหมายรองรับอีกด้วย อาชีพนักคอมพิวเตอร์ เป็นอาชีพใหม่ในสังคมสารสนเทศ การใช้คอมพิวเตอร์และระบบสารสนเทศ ก็เป็นสิ่งใหม่ที่มีศีลธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณเฉพาะของตนซึ่งบางครั้งก็แตกต่างจากจริยธรรมที่ยอมรับกันมาแต่ก่อน หลักพื้นฐานของจริยธรรมในสังคมสารสนเทศก็คือการเคารพผู้อื่น เคารพความเป็นส่วนตัว การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลก็จะเฉพาะสิทธิ์ที่ตนเองมีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงาน

ลินดา เฮอร์นดอน ได้กล่าวถึงบัญญัติสิบประการของการใช้คอมพิวเตอร์ไว้ดังนี้

  1. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น

  2. ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น

  3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น

  4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย

  5. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ

  6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์

  7. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่

  8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน

  9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน

  10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพ จรรยาวิชาชีพ ของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์ (Association of ComputerMachinery ACM Code of Conduct) ซึ่งเป็นสมาคมวิชาชีพนักคอมพิวเตอร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งมีดังนี้

12.การเขียนรายงานการพัฒนาและการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้

การพัฒนานวัตกรรมการศึกษา (Educational Innovation) หมายถึง การกระทำใหม่ การสร้างใหม่ หรือการพัฒนาดัดแปลงจากสิ่งใดๆ แล้วทำให้การศึกษาหรือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิม ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนเปลี่ยนแปลงในการเรียนรู้ เกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว มีแรงจูงใจในการเรียน ทำให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดกับผู้เรียน

ทิศนา แขมมณี (2548 : 423) ได้ให้หลักการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาไว้พอสรุปได้ดังนี้

การระบุปัญหา (Problem)ความคิดในการพัฒนานวัตกรรมนั้น ส่วนใหญ่จะเริ่มจากการมองเห็นปัญหา และต้องการแก้ไขปัญหานั้นให้ประสบความสำเร็จอย่างมีคุณภาพ

การกำหนดจุดมุ่งหมาย (Objective)เมื่อกำหนดปัญหาแล้วก็กำหนดจุดมุ่งหมายเพื่อจัดทำหรือพัฒนานวัตกรรมให้มีคุณสมบัติ หรือลักษณะตรงตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้

การศึกษาข้อจำกัดต่างๆ (Constraints)ผู้พัฒนานวัตกรรมทางด้านการเรียนการสอนต้องศึกษาข้อมูลของปัญหาและข้อจำกัดที่จะใช้นวัตกรรมนั้น เพื่อประโยชน์ในการนำไปใช้ได้จริง

การประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรม (Innovation)ผู้จัดทำหรือพัฒนานวัตกรรมจะต้องมีความรู้ ประสบการณ์ ความริเริ่มสร้างสรรค์ ซึ่งอาจนำของเก่ามาปรับปรุง ดัดแปลง เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาและทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรืออาจคิดค้นขึ้นมาใหม่ทั้งหมด นวัตกรรมทางการศึกษามีรูปแบบแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะปัญหาหรือวัตถุประสงค์ของนวัตกรรมนั้น เช่นอาจมีลักษณะเป็นแนวคิด หลักการ แนวทาง ระบบ รูปแบบ วิธีการ กระบวนการ เทคนิค หรือสิ่งประดิษฐ์ และเทคโนโลยี เป็นต้น

การทดลองใช้ (Experimentation)เมื่อคิดค้นหรือประดิษฐ์นวัตกรรมทางการศึกษาแล้ว ต้องทดลองนวัตกรรม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเป็นการประเมินผลและปรับปรุงแก้ไขผลการทดลองจะทำให้ได้ข้อมูลนำมาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนานวัตกรรมต่อไป ถ้าหากมีการทดลองใช้นวัตกรรมหลายครั้งก็ย่อมมีความมั่นใจในประสิทธิภาพของนวัตกรรมนั้น

การเผยแพร่ (Dissemination)เมื่อมั่นใจนวัตกรรมที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพแล้วก็สามารถนำไปเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จัก

นคร ละลอกน้ำ (สัมภาษณ์) กล่าวว่า การพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาเริ่มต้นจากปัญหาที่พบในการสอนจึงรวบรวมปัญหาและสร้างนวัตกรรมขึ้นเพื่อนำไปพัฒนาระบบการสอนใหม่และทดลองใช้นวัตกรรมนำไปปรับปรุงและพัฒนาจนสามารถแก้ไขปัญหาที่พบได้จริง

กล่าวโดยสรุปขั้นตอนการพัฒนานวัตกรรมคือ เริ่มต้นด้วยการสร้างหรือการพัฒนา ซึ่งหมายถึงการยกร่างนวัตกรรมขึ้นมาใหม่ หรือการพัฒนาวัตกรรมที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น จากนั้นสู่ขั้นตอนการนำนวัตกรรมไปใช้หมายถึง การนำนวัตกรรมไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อรับรองผลว่ามีผลการใช้อยู่ในระดับดี โดยยืนยันจากผลการทดสอบ และในขั้นตอนสุดท้ายคือ การประเมินผลการใช้นวัตกรรม หมายถึงการสอบถามความคิดเห็น หรือความพึงพอใจที่มีต่อนวัตกรรมนั้นๆ ว่าดีมีประโยชน์ มีคุณค่า สามารถนำไปใช้ได้เป็นอย่างดี โดยยืนยันจากเครื่องมือการวัดและประเมินผลนวัตกรรมนั้น

การเผยแพร่ หมายถึง กระบวนการที่ทำให้นวัตกรรมได้รับการยอมรับและถูกนำไปใช้โดยสมาชิกของชุมชน เป้าหมาย ฉะนั้นการเผยแพร่จึงเป็นกระบวนการซึ่งนวัตกรรม (Innovation) จะถูกนำไปถ่ายทอดผ่านช่องทางของการสื่อสาร (Communication Channels) ในช่วงเวลาหนึ่ง (Time) กับสมาชิกที่อยู่ในระบบสังคมหนึ่ง (Social System) ให้เกิดการยอมรับ (Adoption) เมื่อนวัตกรรมได้รับการยอมรับนำไปใช้จนเป็นปกติวิสัยแล้วไม่มีความรู้สึกว่าเป็นของใหม่อีกต่อไป นวัตกรรมนั้นจะกลายเป็นเทคโนโลยีซึ่งอาจจะอยู่ในรูปแบบของอุปกรณ์ (Hardware) วัสดุ (Software) และเทคนิควิธี (Techniques)

การแพร่กระจายนวัตกรรม มีองค์ประกอบดังนี้

นวัตกรรมเกิดขึ้น (Innovation)

สื่อเป็นช่องทางในการส่งผ่านนวัตกรรมนั้น (Communication channels)

ช่วงระยะเวลาที่เกิดแพร่กระจาย (Time) ผ่านไปยังสมาชิกในระบบสังคมหนึ่ง (Social System)

ทฤษฎีการเผยแพร่หรือการใช้นวัตกรรม

ทฤษฎีกระบวนการตัดสินใจรับนวัตกรรม(The Innovation Decision Process Theory)

1.1 ขั้นของความรู้ (Knowledge)

1.2 ขั้นของการถูกชักนำ (Persuasion)

1.3 ขั้นของการตัดสินใจ (Decision)

1.4 ขั้นของการนำไปสู่การปฏิบัติ (Implementation)

1.5 ขั้นของการยืนยันการยอมรับ (Confirmation)

ทฤษฎีความเป็นนวัตกรรมในเอกัตบุคคล(The individual innovativeness theory)

2.1 กลุ่มไวต่อการรับนวัตกรรม (Innovators)

2.2 กลุ่มแรกๆที่รับนวัตกรรม (Early adopters)

2.3 กลุ่มใหญ่แรกที่รับนวัตกรรม (Early maicoity)

2.4 กลุ่มใหญ่ที่หลังรับนวัตกรรม (Late majority)

2.5 กลุ่มสุดท้ายที่รับนวัตกรรม (Laggards)

ทฤษฏีอัตราการยอมรับ(The theory of rate of adoption) rogers ได้อธิบายทฤษฎีนี้ไว้ว่า เป็นการเผยแพร่นวัตกรรมในช่วงเวลาอย่างเป็นแบบแผน เขียนกราฟเป็นรูปตัว S

ทฤษฎีการยอมรับด้วยคุณสมบัติ(The theory of perceibutes) rogers (1995) ได้ขยายความทฤษฎีนี้ไว้ว่า กลุ่มผู้มีศักยภาพในการยอมรับนวัตกรรม ตัดสินใจรับโดยใช้ฐานของการรับรู้รับทราบถึงคุณสมบัติของนวัตกรรม ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 5 ประการ ได้แก่

4.1 นวัตกรรมนั้นสามารถทดลองใช้ได้ก่อนการจะยอมรับ (Trilability)

4.2 นวัตกรรมนั้นสามารถสังเกตผลที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน (Obscervability )

4.3 นวัตกรรมนั้นมีข้อดีกว่าหรือเห็นประโยชน์ได้ชัดเจนกว่าสิ่งอื่น ๆ มีอยู่ในขณะนั้นหรือสิ่งที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน (Relative Advantage)

4.4 ไม่มีความซับซ้อนง่ายต่อการนำไปใช้ (Complexity)

4.5 สอดคล้องกับการปฏิบัติและค่านิยมที่เป็นอยู่ในขณะนั้น (Compatibility)

 

 

11.การปรับปรุงนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้

ในการพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ  ประสิทธิผลในนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ครู อาจารย์   จะต้องพยายามค้นคว้าวิธีการใหม่ ๆ ที่ครู อาจารย์คิดค้นขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ  นั้น  คือ นวัตกรรมทางการศึกษาและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา ครูต้องเรียนรู้เรื่องการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาเพื่อสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในวงการศึกษาสรุปได้

1.เพื่อนำนวัตกรรมมาใช้แก้ปัญหาในเรื่องการเรียนการสอน  เช่น

1.1  ปัญหาเรื่องวิธีการสอน   ปัญหาที่มักพบอยู่เสมอ  คือ  ครูส่วนใหญ่ยังคงยึดรูปแบบการสอนแบบบรรยาย    โดยมีครูเป็นศูนย์กลางมากกว่าการสอนในรูปแบบอื่น    การสอนด้วยวิธีการแบบนี้เป็นการสอนที่ขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในบั้นปลาย   เพราะนอกจากจะทำให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่าย   ขาดความสนใจแล้ว    ยังเป็นการปิดกั้นความคิด   และสติปัญญาของผู้เรียนให้อยู่ในขอบเขตจำกัดอีกด้วย

1.2   ปัญหาด้านเนื้อหาวิชา   บางวิชาเนื้อหามาก    และบางวิชามีเนื้อหาเป็นนามธรรมยากแก่การเข้าใจ    จึงจำเป็นจะต้องนำเทคนิคการสอนและสื่อมาช่วย    เพื่อทำให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาวิชาได้ง่ายขึ้นจึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาคิดค้นหาเทคนิควิธีการสอน   และผลิตสื่อการสอนใหม่  ๆ  เพื่อนำมาใช้ทำให้การเรียนการสอนบรรลุเป้าหมายได้

2.เพื่อนำนวัตกรรมไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน   ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา    โดยการนำสิ่งประดิษฐ์หรือแนวความคิดใหม่ ๆ  ในการเรียนการสอนนั้นเผยแพร่ไปสู่ครู – อาจารย์ท่านอื่น ๆ  หรือเพื่อเป็นตัวอย่างอีกรูปแบบหนึ่งให้กับครู – อาจารย์ที่สอนในวิชาเดียวกัน   ได้นำแนวความคิดไปปรับปรุงใช้หรือผลิตสื่อการสอนใหม่ ๆ  เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนต่อไป

 นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา

คำว่า “นวัตกรรม” เดิมใช้ “นวกรรม” มาจากคำว่า นว หรือ นวัต ซึ่งแปลว่า ใหม่ ( เช่น นวธานี, นวนคร = เมืองใหม่, นวพล = พลังใหม่, นวกภิกขุ = พระบวชใหม่) กับคำว่า “กรรม” ซึ่งแปลว่า การกระทำ การทำหรือสิ่งที่ทำ ความคิดและการปฏิบัติ ตรงกับคำภาษาอังกฤษ “Innovation” ซึ่งมาจากรากศัพท์ภาษาลาติน in + novare (= new) เป็น Innovare แปลว่า ทำให้ใหม่ (to renew) หรือดัดแปลงเสียใหม่ (to modify) ส่วน Innovate เป็นคำกริยา แปลว่า ทำใหม่ เปลี่ยนแปลงโดยนำสิ่งใหม่เข้ามา เมื่อนำ 2 คำ มารวมกันเป็น นวกรรม หรือ นวัตกรรม ก็จะแปลได้ตรงตัวว่า การกระทำใหม่ หรือกระทำสิ่งใหม่ หมายถึง ทำขึ้นมาใหม่ ประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ขึ้นมา ซึ่งอาจอยู่ในรูป ความคิด สิ่งของ วัสดุ เครื่องมืออุปกรณ์ หรือวิธีการก็ได้ ดังที่มีผู้ให้ความหมายไว้ เช่น เป็นความคิด การปฏิบัติ หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อนหรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงจากของเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น… (กิตานันท์ มลิทอง. 2543 : 255)  หมายถึง วิธีการหรือการกระทำใด ๆ ที่เป็นวิธีการหรือการกระทำใหม่ หรือเป็นสิ่งที่มีผู้คิดค้นขึ้นใหม่ หรืออาจปรับปรุงของเก่าให้ใหม่หรือดีขึ้น เพื่อใช้สิ่งนั้นในการแก้ปัญหาหรือปรับปรุงคุณภาพให้ดีขึ้น (เอกวิทย์ แก้วประดิษฐ์. 2545 : 8) เป็นแนวความคิดที่มีเป้าหมายชัดเจน ในการนำมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ (Nicholls and Allen. 1983 : 4)  ดังกล่าวแล้วว่า เทคโนโลยีการศึกษา เป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสิ่งประดิษฐ์ หรือใช้ ร่วมกับกระบวนการทางจิตวิทยา และอื่น ๆ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้เทคโนโลยีมิได้หมายความว่าจะมีประสิทธิภาพคงที่เสมอไป ประสิทธิภาพของเทคโนโลยีใด ๆ ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อเปลี่ยนแปลงสถานที่ เปลี่ยนแปลงเวลา เปลี่ยนบุคคลที่ใช้และบุคคลที่ถูกนำไปใช้ เปลี่ยนแปลงสถานที่แวดล้อม ก็อาจจะทำให้ประสิทธิภาพของเทคโนโลยีนั้นเปลี่ยนแปลงไปได้ ในกรณีที่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้น เทคโนโลยีนั้นก็จะยังคงใช้ต่อไป แต่เมื่อประสิทธิภาพลดลง เทคโนโลยีนั้น ๆ จึงต้องมีการปรับปรุงจุดบกพร่องบางส่วน หรือนำเอาวิธีการใหม่ ๆ มาใช้ ซึ่งวิธีการที่ได้รับการปรับปรุงใหม่หรือวิธีการใหม่ที่นำมาใช้เรียกว่า นวัตกรรม (Innovation)

ทอมัส ฮิวซ์ (อ้างในบุญเกื้อ ควรหาเวช, 2542:13) ให้ความหมายของคำว่า นวัตกรรมว่า “เป็นการนำวิธีการใหม่ ๆ มาปฏิบัติหลังจากได้ผ่านการทดลองหรือได้รับการพัฒนามาเป็นขั้น ๆ แล้ว โดยเริ่มมาตั้งแต่การคิดค้น (Invention) การพัฒนา (Development) ซึ่งอาจจะเป็นรูปของโครงการทดลองปฏิบัติก่อน (Pilot Project) แล้วจึงนำมาปฏิบัติจริง ซึ่งมีความแตกต่างไปจากการปฏิบัติเดิมที่เคยปฏิบัติมา”

มอตัน (อ้างในบุญเกื้อ ควรหาเวช, 2542:13) กล่าวว่า “นวัตกรรม หมายถึง การทำให้ใหม่ขึ้นอีกครั้ง (Renewal) ซึ่งหมายถึงการปรับปรุงของเก่าและพัฒนาศักยภาพของบุคลากรตลอดจนหน่วยงานหรือองค์การนั้น ๆ นวัตกรรมไม่ใช่การขจัดหรือล้มล้างสิ่งเก่าให้หมดไป แต่เป็นการปรับปรุงแต่งและพัฒนาเพื่อความอยู่รอดของระบบ”

ไชยยศ เรืองสุวรรณ (อ้างในบุญเกื้อ ควรหาเวช, 2542:13) กล่าวว่า “นวัตกรรม หมายถึงวิธีการปฏิบัติใหม่ ๆ ที่แปลกไปจากเดิม โดยอาจจะได้มาจากการคิดค้นพบวิธีการใหม่ ๆ ขึ้นมาหรือมีการปรับปรุงของเก่าให้เหมาะสมและสิ่งทั้งหลายปลายทางอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น”

ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้โดยสรุปว่า “นวัตกรรม เป็นการปรับปรุงดัดแปลงวิธีการเดิม หรือนำเอาวิธีการใหม่มาใช้ในกระบวนการดำเนินงานใดๆ แล้วทำให้ประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าเดิม” เมื่อนำนวัตกรรมมาใช้กับงานใดหรือสาขาใดก็จะเรียกชื่อตามสาขาที่นำมาใช้นั้น เช่น นวัตกรรมการเกษตร นวัตกรรมการสื่อสาร นวัตกรรมการสอน นวัตกรรมการศึกษา เป็นต้น มีผู้ให้ความหมายของนวัตกรรมที่นำมาใช้ในระบบการศึกษาและการเรียนการสอน (educational/instructional innovation) ไว้ เช่น หมายถึง นวัตกรรมที่จะช่วยให้การศึกษาและการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิผลสูงกว่าเดิม เกิดแรงจูงใจในการเรียนด้วยนวัตกรรมเหล่านั้น และประหยัดเวลาในการเรียนอีกด้วย…(กิดานันท์ มลิทอง. 2543 : 256)

เป็นการนำเอาสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของความคิดหรือการกระทำ รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ก็ตาม เข้ามาใช้ในระบบการศึกษา เพื่อมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิมให้ระบบการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (บุญเกื้อ ควรหาเวช. 2530 : 5)

จากความรู้เรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่กล่าวมาแล้ว และหากทำการศึกษาในเอกสารตำราต่าง ๆ จะพบว่า เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นคำที่มักจะใช้ควบคู่กันเสมอ ๆ เช่น ใช้คำว่า นวัตกรรมและเทคโนโลยี หรือ เทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือแม้แต่คำว่า นวัตกรรมเทคโนโลยี (ไม่มีคำว่า“และ”)หรือในรูปรวมกันเป็นคำเดียวในลักษณะย่นย่อเกิดเป็นคำศัพท์ใหม่ใภาษาอังกฤษ เช่น Technology and Innovation หรือ Innovation and Technology หรือ Innotech (ชื่อหน่วยงาน) เป็นต้น แสดงให้เห็นว่าทั้ง 2 คำมีความข้องสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ดังที่มีผู้เปรียบเทียบว่า “นวัตกรรมเป็นเสมือนหน่อไม้ ส่วนเทคโนโลยีเทียบได้กับลำไม้ไผ่หรือกอไผ่” (ชัยยงค์ พรหมวงศ์. 2523 : 24-25) อธิบาย ได้ว่า เทคโนโลยีต้องผ่านขั้นตอนการเป็นนวัตกรรมมาก่อน ในทางกลับกันถ้าไม่มีลำไม้ไผ่ หรือกอไผ่ (เทคโนโลยี) ก็ไม่มีโอกาสจะมีหน่อไม้ (นวัตกรรม) ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น เทคโนโลยีและนวัตกรรมจึงเกี่ยวข้องกันในลักษณะ “วงวัฏจักรของการพัฒนา” ที่ไม่มีการสิ้นสุดและแสดงเป็นภาพความสัมพันธ์ได้ดังภาพที่ 1 (เอกวิทย์ แก้วประดิษฐ์. 2545 : 8)

อนึ่งเทคโนโลยีใด ๆ ที่ใช้ไปเป็นระยะเวลานานหรือภายใต้สภาวการณ์แวดล้อมที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา ย่อมเกิดการ “ล้าสมัย” ขึ้นจึงไม่เหมาะที่จะนำมาใช้อีกต่อไป เว้นแต่จะได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาให้เหมาะสม และนำไปทดลองใช้หรือเผยแพร่เพื่อให้เกิดการยอมรับต่อไป ในช่วงนี้เองเทคโนโลยียังอยู่ในสภาพนวัตกรรมจนกว่าจะได้รับการยอมรับ และนำไปใช้ในระบบปกติอย่างกว้างขวางหรือแพร่หลาย จึงจะถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่สมบูรณ์และต้องการการพัฒนาเพื่อมิให้เกิดการล้าสมัยอย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด

ในทำนองเดียวกันหากเทคโนโลยีดังกล่าว เป็น “เทคโนโลยีการศึกษา” และ “นวัตกรรมการศึกษา” ก็จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องซึ่งกันและกันในทำนองเดียวกันดังภาพที่ 2 (เอกวิทย์ แก้วประดิษฐ์. 2545 : 9)

การปฏิเสธและการยอมรับนวัตกรรม

การปฏิเสธนวัตกรรม

เมื่อมีผู้ค้นคิดหานวัตกรรมมาใช้ไม่ว่าในวงการใดก็ตาม มักจะได้รับการต่อต้านหรือ การปฏิเสธ ตัวอย่างเช่นการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป ลัทธิการปกครอง หรือวิธีการสอนใหม่ ๆ เนื่องมาจากสาเหตุหลายประการด้วยกันดังนี้

1) ความเคยชินกับวิธีการเดิม ๆ เนื่องจากบุคคลมีความเคยชินกับวิธีการเดิม ๆ ที่ ตนเองเคยใช้และพึงพอใจในประสิทธิภาพของวิธีการนั้น ๆ บุคคลผู้นั้นก็มักที่จะยืนยันในการใช้วิธีการนั้น ๆ ต่อไปโดยยากที่จะเปลี่ยนแปลง

2) ความไม่แน่ใจในประสิทธิภาพของนวัตกรรม แม้บุคคลผู้นั้นจะทราบข่าวสารของ นวัตกรรมนั้น ๆ ในแง่ของประสิทธิภาพว่าสามารถนำไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีก็ตาม การที่ตนเองมิได้เป็นผู้ทดลองใช้นวัตกรรมนั้น ๆ ก็ย่อมทำให้ไม่แน่ใจว่านวัตกรรมนั้น ๆ มีประสิทธิภาพจริงหรือไม่

3) ความรู้ของบุคคลต่อนวัตกรรม เนื่องจากนวัตกรรมเป็นสิ่งที่โดยมากแล้วบุคคลส่วนมากมีความรู้ไม่เพียงพอแก่การที่จะเข้าใจในนวัตกรรมนั้นๆ ทำให้มีความรู้สึกท้อถอยที่จะเข้าใจในนวัตกรรมนั้น ๆ ทำให้มีความรู้สึกท้อถอยที่จะแสวงหานวัตกรรมมาใช้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นตัวอย่างหนึ่งของนวัตกรรมที่นำเอาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน ผู้ที่มีความรู้พื้นฐานทางคอมพิวเตอร์ไม่พอเพียงก็จะรู้สึกท้อถอยและปฏิเสธในการที่จะนำนวัตกรรมนี้มาใช้ในการเรียนการสอนในชั้นของตน

4) ข้อจำกัดทางด้านงบประมาณ โดยทั่วไปแล้วนวัตกรรมมักจะต้องนำเอาเทคโนโลยี สมัยใหม่มาใช้ในการพัฒนานวัตกรรม ดังนั้นค่าใช้จ่ายของนวัตกรรมจึงดูว่ามีราคาแพง ในสภาพเศรษฐกิจโดยทั่วไป จึงไม่สามารถที่จะรองรับต่อค่าใช้จ่ายของนวัตกรรมนั้น ๆ แม้จะมองเห็นว่าจะช่วยให้การดำเนินการ โดยเฉพาะการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพสูงขึ้นจริง ดังนั้นจะเป็นได้ว่าปัญหาด้านงบประมาณเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการปฏิเสธนวัตกรรม

การยอมรับนวัตกรรม

ดังกล่าวมาแล้วว่าบุคคลจะปฏิเสธนวัตกรรมเนื่องด้วยสาเหตุหลัก 4 ประการคือ ความเคยชินกับวิธีการเดิม ๆ ความไม่แน่ใจในประสิทธิภาพของนวัตกรรมความรู้ของบุคคลว่านวัตกรรมและข้อจำกัดทางด้านงบประมาณ ดังนั้นในการที่จะกระตุ้นให้บุคคลยอมรับนวัตกรรมนั้น ๆ ต้องแก้ไขปัญหาหลักทั้ง 4 ประการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เอเวอร์เรต เอ็ม โรเจอร์ (Everretle M.Rogers อ้างในณรงค์ สมพงษ์, 2530:6) กล่าวถึงกระบวนการยอมรับนวัตกรรมว่าแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนคือ

ขั้นตื่นตัว (Awareness) ในขั้นนี้เป็นขั้นของการที่ผู้รับได้รับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับนวัตกรรมนั้น ๆ

ขั้นสนใจ (Interest) เป็นขั้นที่ผู้รับนวัตกรรมเกิดความสนใจว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาที่กำลังประสบอยู่ได้หรือไม่ ก็จะเริ่มหาข้อมูล

ขั้นไตร่ตรอง (Evaluation) ผู้รับจะนำข้อมูลที่ได้มาพิจารณาว่าจะสามารถนำมาใช้แก้ปัญหาของตนได้จริงหรือไม่

ขั้นทดลอง (Trial) เมื่อพิจารณาไตร่ตรองแล้วมองเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาของตนได้ ผู้รับก็จะนำเอานวัตกรรมดังกล่าวมาทดลองใช้

ขั้นยอมรับ (Adoption) เมื่อทดลองใช้นวัตกรรมดังกล่าว แล้วหากได้ผลเป็นที่พอใจ นวัตกรรมดังกล่าวก็จะเป็นที่ยอมรับนำมาใช้เป็นการถาวรหรือจนกว่าจะเห็นว่าด้อยประสิทธิภาพ หากไม่เกิดประสิทธิภาพนวัตกรรมดังกล่าวก็จะไม่ได้รับการยอมรับจากบุคคลนั้นอีกต่อไป

เมื่อพิจารณากระบวนการยอมรับนวัตกรรมของโรเจอร์แล้ว เปรียบเทียบกับสาเหตุหลัก 4 ประการของการปฏิเสธนวัตกรรมจะเห็นได้ว่าสาเหตุหลัก 3 ประการแรก คือ ความเคยชินกับวิธีการเดิม ๆ ความไม่แน่ใจในประสิทธิภาพของนวัตกรรม และความรู้ของบุคคลต่อนวัตกรรม จะสอดคล้องกับกระบวนการยอมรับนวัตกรรม คือ จะทำอย่างไรจึงจะให้บุคคลนั้น ๆ มีความรู้ในนวัตกรรม ซึ่งเป็นขั้นตื่นตัว (Awareness) เกิดความสนใจ (Interest) ศึกษาหาข้อมูล นำเอาข้อมูลมาไตร่ตรอง (Evaluation) แล้วจึงนำเอาไปทดลอง (Trail) ก่อนที่จะถึงขึ้นสุดท้ายก็คือขั้นของการยอมรับ (Adoption) ในส่วนของปัญหาหลักข้อสุดท้ายก็คือข้อจำกัดทางด้านงบประมาณนั้น เป็นการสอนแบบร่วมมือประสานใจ ที่อาศัยกระบวนการเป็นองค์ประกอบหลัก เน้นการสอนแบบร่วมมือประสานใจ (Cooperative Learning) การสอนแบบมุ่งประสบการณ์ภาษา หรือการเรียนรู้แบบค้นพบ ก็คงจะแก้ไขปัญหาหลักข้อสุดท้ายได้

10.การประเมินคุณภาพนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้

การประเมินสื่อการสอน

การประเมินโดยอาศัยเกณฑ์

แนวคิดการประเมินโดยอาศัยเกณฑ์จะมีการกำหนดค่าตัวเลขขึ้นมาเพื่อเป็นสิ่งที่จะระบุถึงประสิทธิภาพของสื่อ ในปัจจุบันการกำหนดเกณฑ์นิยมปฏิบัติใน 2 แนวทาง คือ

(1) เกณฑ์มาตรฐาน 90/90 เป็นวิธีการที่ได้รับการพัฒนามาเพื่อประเมินประสิทธิภาพของบทเรียนโปรแกรม มีพื้นฐานมาจากการเรียนรู้แบบรอบรู้ (Mastery learning) นิยามของเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 นั้นได้อธิบายไว้ว่า90 ตัวแรกเป็นคะแนนของทั้งกลุ่ม ซึ่งหมายถึงนักเรียนทุกคน ถ้าบทเรียนโปรแกรมถึงเกณฑ์ค่าร้อยละเฉลี่ยของกลุ่มจะต้องเป็น 90 หรือสูงกว่า90 ตัวที่สองแทนคุณสมบัติที่ว่า ร้อยละ 90 ของนักเรียนทั้งหมดได้รับผลสัมฤทธิ์ตามมุ่งหมายแต่ละข้อ และทุกข้อของบทเรียนโปรแกรม

(2) การทดสอบประสิทธิภาพตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ E1/E เป็นแนวคิดการประเมินที่เกิดขึ้นเพื่อประเมินประสิทธิภาพของชุดการสอนและสื่อการสอนประเภทต่างๆ ยกเว้นบทเรียนโปรแกรม ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของกลุ่มพฤติกรรมนิยมที่ต้องการประเมินผลพฤติกรรมของผู้เรียนใน 2 ประเภท คือ พฤติกรรมต่อเนื่อง (กระบวนการ) และพฤติกรรมสุดท้าย (ผลลัพธ์) โดยกำหนดค่าประสิทธิภาพเป็น E1 (ประสิทธิภาพของกระบวนการ) E2 (ประสิ ทธิภาพของผลลัพธ์) นิยามประสิทธิภาพ E1/E2

E1 หมายถึง ค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่เกิดจากการท ากิจกรรมระหว่างเรียนจากชุดการสอนหรือสื่ออื่นๆ ของผู้เรียน (ประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนรู้)

E2 หมายถึง ค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่เกิดจากการทำแบบทดสอบหลังการเรียนของผู้เรียน (ประสิทธิภาพของผลลัพธ์การเรียนรู้)

การประเมินโดยค่าดัชนีประสิทธิผล

การวิเคราะห์ค่าดัชนีประสิ ทธิผล ( Effectiveness index: E.I.) เป็นอีกวิธีที่ใช้ ในการประเมินประสิทธิภาพสื่อการสอนซึ่งนิยมใช้ วิธีของ Goodman, Fletcher and Schneider(1980) โดยดัชนีประสิทธิผลที่ใช้ได้ควรมีค่า 0.50 ขึ้นไป

การประเมินที่นำมาใช้ ควรมีลักษณะที่สอดคล้อง คือ การประเมินเพื่อปรับปรุงและการประเมิน ผลลัพธ์  ด้วยเหตุนี้การประเมินเพียงเฉพาะมิติด้านผลสัมฤทธิ์ซึ่งใช้ข้อมูลเชิงปริมาณที่เป็นค่าคะแนน หรือตัวเลขอย่างเดียว อาจให้รายละเอียดไม่เพียงพอที่จะนำมาสู่การปรับปรุงในกระบวนการพัฒนา  ซึ่งสุมาลี ชัยเจริ2545) ได้เสนอวิธีการประเมินประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้และสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้              

ดังรายละเอียดที่จะได้นำเสนอต่อไปนี้

การประเมินสื่อการเรียนรู้และสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้

สุมาลี ชัยเจริญ (2551) ได้อธิบายว่า ภายหลังกระบวนทัศน์การประเมินที่เปลี่ยนแปลงจากสื่อเพื่อการถ่ายทอดมาสู่สื่อหรือเทคโนโลยีทางปัญญา (Cognitive technology) ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมกระบวนการรู้คิดหรือกระบวนการทางพุทธิปัญญา (Cognitive process) และแนวโน้มในปัจจุบันทฤษฎีในกลุ่มพุทธิปัญญานิยมและกลุ่มคอนสตรัคติวิสต์ที่นิยามการเรียนรู้ คือการสร้างความรู้ของผู้เรียน

การประเมินด้านผลผลิต

ประเมินผลผลิตเป็นประเมินคุณภาพของสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้  โดยการตรวจสอบคุณภาพด้านต่างๆโดยผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านเนื้อหา ด้านการออกแบบสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ ด้านสื่อ และด้านประเมินผล

ประเมินบริบทการใช้ในสภาพจริง

การประเมินบริบทการใช้ในสภาพจริง หรือเป็นการนำไปทดลองใช้เพื่อศึกษาเพื่อหาบริบทที่เหมาะสมในการใช้สื่อการเรียนรู้ และสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ในสภาพจริง รวมทั้งนำข้อคิดเห็นของผู้เรียนที่เรียนด้วยสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ของสื่อบนเครือข่ายหรือข้อบกพร่องต่างๆของสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ เพื่อเป็นพื้นฐานในการปรับปรุง แก้ไข สิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้บนเครือข่าย

ประเมินด้านความคิดเห็นของผู้เรียน

การประเมินคุณภาพของสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ อาศัยพื้นฐานด้านที่สำคัญ ได้แก่  (1)ด้านคุณลักษณะของสื่อบนเครือข่าย (2) ด้านเนื้อหาในการเรียนรู้ และ (3) ด้านการออกแบบสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้

การประเมินด้านความสามารถทางปัญญาของผู้เรียน

ความสามารถทางปัญญาของผู้เรียนถือเป็นอีกมิติหนึ่งที่จะสะท้อนให้เห็นประสิทธิภาพของสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้บนเครือข่ายที่ส่งเสริมการสร้างความรู้ฯ นอกเหนือจากการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหรือ ประสิทธิภาพของกระบวนการ/ประสิ ทธิภาพของผลลัพธ์ หรือ E1/E2 เท่านั้น

การประเมินด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน  

ประเมินด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหรือค่าคะแนนที่ได้จากประเมินได้จากคะแนนจากการทดสอบหลังเรียนของผู้เรียนหลังจากการเรียนด้วยสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ที่พัฒนาตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ ถือเป็นมิติหนึ่งของการประเมินสื่อโดยทั่วไปที่ทุกท่านคุ้นเคย ได้แก่ ประสิทธิภาพของกระบวนการ/ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ หรือ E1/E2 หรือ ค่าดัชนีประสิทธิผล (Index effectiveness) ที่จะสะท้อนให้เห็นประสิทธิภาพของสื่อ

9. การใช้นวัตกรรมการและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้

  1. การนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการตัดสินใจ การตัดสินใจที่ดีจะต้องรวดเร็วและไมผิดพลาด และการตัดสินใจที่รวดเร็วและไมผิดพลาดนั้นจําเป็น ต้องมี ข้อมูลสารสนเทศที่ เป็นปัจจุบันไมล้าสมัย มีจํานวนมากเพียงพอ และสามารถนํามาใชไดง่ายและรวดเร็ว ซึ่งเทคโนโลยีสารสนเทศจะช่วยเรื่องนี้เป็นอย่างดี ระบบสารสนเทศที่ผูบริหารนํามาใชในการตัดสินใจมีดังนี้

1.1 ระบบสารสนเทศสําหรับผูบริหาร (Executive Systems) หรือ “EIS” ในบางครั้งอาจเรียกว่า “ระบบสนับสนุนผู้บริหาร” (Executive Support Systems) หรือ “ESS” ระบบ EISเป็นระบบที่ออกแบบและพัฒนาขึ้นมาเพื่อจัดเตรียมสารสนเทศที่เหมาะสมในการตัดสินใจของผูบริหารระดับสูงช่วยให้ ผู้บริหารสามารถทําความเข้าใจ ปัญหาอย่างชัดเจน และสามารถตัดสินใจเลือกแนวทางแกปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ

1.2 ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support) หรือ DSS ระบบ DSS เป็นระบบที่ ออกแบบและพัฒนาขึ้นมาเพื่อใชสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหารระดับกลาง ระบบDSS จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจของผูบริหารแตจะไมทําการตัดสินใจแทนผู้บริหาร โดยประมวลผลและนําเสนอข้อมูล ที่สําคัญต่อการตัดสินใจ ตลอดจนประเมินทางเลือกที่เหมาะสมภายใตข้อจํากัดของแต่ละสถานการณ เพื่อใหผู้บริหารใช

สติปญญา เหตุผล ประสบการณ และความคิดสร้างสรรคของตนวิเคราะหและเปรียบเทียบทางเลือกใหสอดคล้องกับปัญหาหรือสถานการณนั้นๆ

  1. การนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชในการบริหารงานทางไกล มีการนําสื่อหลายๆอย่าง เช่น โทรศัพทมือถือ โทรสาร วิทยุ โทรทัศน คอมพิวเตอร และเครื่องมือสื่อสารโทรคมนาคม มาใชในการติดต่อการสื่อสารและการบริหารงานทางไกลไดสะดวกรวดเร็ว ประหยัดเวลาและค่าใช้จายเป็น อันมาก ถึงแมจะอยูไกลกันก็สามารถทํางานร่วมกัน ประชุมร่วมกันไดโดยใช Teleconference เป็นต้น

  2. การนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชในการบริหารสถานศึกษา ปัจจุบันสถานศึกษาหลายแห่ง พัฒนาระบบสารสนเทศ เพื่อใชในการบริหารงานด้านต่างๆ ทั้งการบริหารงานวิชาการ การบริหารกิจการนักเรียน การบริหารงานบุคลากร การบริหารงานธุรการ การเงิน พัสดุ ครุภัณฑ การบริหารงานอาคารสถานที่และการการบริหารงานชุมชน

  3. การสร้างเครือข่ายข้อมูล (Network) ด้วยระบบสารสนเทศ เครือข่ายนี้จะช่วยพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยเป็นอันมาก ปัจจุบันมี โครงการเครือข่ายคอมพิวเตอรโรงเรียนมัธยม (Schoolnet) ซึ่งเป็นโครงการ

ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หนึ่งในหลายโครงการที่เกิดขึ้นตามพระราชดําริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี โดยศูนยเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกสคอมพิวเตอรแห่งชาติ ไดนําแนวพระราชดําริมาดําเนินการร่วมกับหน่วยงานและสถานศึกษาในสังกัดกรมสามัญศึกษา(เดิม)

  1. การนํานวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชในการจัดการศึกษา ในปัจจุบันผูบริหาร หน่วยงานทางการศึกษานํานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชในการจัดการศึกษา เป็นประโยชนต่อการเรียนรูหลายอย่าง อาทิเช่น

5.1 อินเตอร์เน็ต (Internet) เพื่อใชในการศึกษาหาข้อมูล ข่าวสารทางวิชาการและอื่นๆ จากที่ต่าง ๆ เป็นการส่งเสริมการเรียนรูตลอดชีวิต

5.2 จดหมายอิเล็กทรอนิกส (Electronic Mail หรือ E-mail) เพื่อใชรับส่งข่าวสาร ข้อมูล รูปภาพ และส่งงานใหครูอาจารยตรวจ

5.3 การจัดทํา Website ของสถานศึกษา เพื่อการเผยแพรขาวสารของสถานศึกษา เป็นการประชาสัมพันธระหว่างสถานศึกษากับ ผู้ที่เกี่ยวของ และบุคคลทั่วไป

5.4 การใชโปรแกรม SPSS เพื่อการวิเคราะหข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งเป็นประโยชนต่อการทําวิจัยในชั้นเรียนของครูอาจารย การทําวิจัยสถานบันของฝ่ายบริหาร และอื่น ๆ

5.5 การทํา PowerPoint เพื่อใชในการเรียนการสอนของครูอาจารย และใชเสนอผลงานของ ผู้บริหารสถานศึกษา

5.6 คอมพิวเตอรช่วยสอน (Computer Assisted Instruction หรือ CAI) เพื่อช่วยใหผู้เรียนเรียนรูด้วยตนเองจากบทเรียนสําเร็จรูปในคอมพิวเตอร

5.7 การเรียนรูผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส (Electronic Learning) หรือที่เรียกกันว่า E-Learning เป็นการเรียนทางไกลที่ผูเรียนสามารถโตตอบกับผู้สอนได โดยอาศัยเครือข่าย อินเตอร์เน็ต จึงช่วยใหเรียนรู้ไดโดยไม่มีข้อจํากัดของเวลา ระยะทาง และสถานที่ โดยผูเรียนจะสามารถเรียนรูไดตลอดเวลาจึงตอบสนองศักยภาพการเรียนรูของผู้เรียนไดเป็นอย่างดี

5.8 ห้องเรียนอัจฉริยะ (Electronic Classroom หรือ E-Classroom) เป็นการจัดระบบบริหารจัดการห้องเรียน ที่ใชการเรียนการสอนแบบ on-line และ ปฏิสัมพันธ (interactive) สามารถควบคุมและและตรวจสอบกิจกรรมของนักเรียนไดโดยตรงจากเครื่องคอมพิวเตอรของครูแบบ real time

5.9 หนังสืออิเล็กทรอนิกส (E-book) และ หองสมุดอิเล็กทรอนิกส (E-Library) เพื่อเสริม การเรียนการสอน และใหบริการค้นคว้าหาความรูแกนักเรียน ครูอาจารย และประชาชน

5.10 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ “ICT” (Information and Communication Technologies) เพื่อพัฒนาการศึกษา ปัจจุบันประเทศไทยโดยกระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายสําคัญที่จะนําเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช เพื่อพัฒนาการสื่อสารในทุกด้าน โดยเฉพาะการช่วยพัฒนาครูอาจารย การช่วยใหเด็กและเยาวชนไดเข้าถึงแหล่งความรูและไดเรียนอย่างทัดเทียมกัน ตลอดจนการพัฒนาระบบบริหารจัดการให้ ฉับไว มีประสิทธิภาพสูงสุด

ดังนั้น นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ก็เข้ามามีบทบาทมากขึ้น โนเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคของการปฎิรูปการศึกษา ผู้บริหารการศึกษายุคใหมต่างก็นํานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชประโยชนใน การบริหารจัดการศึกษา เพื่อใหประสบผลสําเร็จในการพัฒนาคุณภาพผูเรียนไดอย่างมีประสิทธิภาพสูง

แหล่งที่มา : http://teeranuch.blogspot.com/2010/06/blog-post_1903.html

8.การตรวจสอบ ประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพของสื่อ นวัตกรรมการเรียนรู้

8.1 การตรวจสอบคุณภาพนวัตกรรมการเรียนรู้

  ตัวชี้วัดคุณค่าของสื่อหรือนวัตกรรม อยู่ที่เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นหลักว่ามีคุณภาพหรือไม่ ถ้าหากเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยไม่มีคุณภาพ ผลสรุปที่ได้ก็เชื่อถือไม่ได้ ดังนั้น ผู้วิจัยจะต้องคำนึงถึงการหาคุณภาพหรือการตรวจสอบคุณภาพของสื่อหรือนวัตกรรมซึ่งสำหรับการหาคุณภาพของนวัตกรรมสามารถหาได้หลายวิธี แต่ในที่นี้จะขอกล่าววิธีการหาประสิทธิภาพ

  1. นำสื่อ/นวัตกรรมที่สร้างขึ้น พร้อมวัตถุประสงค์การวิจัย/ศึกษา พร้อมนิยามศัพท์และแบบแสดงความคิดเห็น นำเสนอผู้เชี่ยวชาญอย่างน้อย 3 คน

  2. นำรายการที่ผู้เชี่ยวชาญแสดงความคิดเห็นมาให้ค่าน้ำหนักคะแนน ถ้าเหมาะสม ได้ค่าน้ำหนัก +1 ถ้าไม่แน่ใจ ได้ค่าน้ำหนัก 0 และถ้าไม่เหมาะสม ได้ค่าน้ำหนัก –1

  3. บันทึกค่าน้ำหนักคะแนนแต่ละคน และทำการวิเคราะห์หาค่า IOC

หมายเหตุ ค่า IOC ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป ถือว่าใช้ได้

การตรวจสอบคุณภาพสื่อ/นวัตกรรมบางอย่าง เมื่อผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว จะต้องนำไปทดลองใช้ (Try-out) หรือนำไปให้นักเรียนที่เป็นคนละกลุ่มกับกลุ่มที่ศึกษา ทำการตรวจสอบ เช่น  ชุดการสอน บทเรียนสำเร็จรูป บทเรียนโปรแกรม ศูนย์การเรียน หนังสืออ่านประกอบ เป็นต้น ที่เรียกว่า เกณฑ์ประสิทธิภาพ (E1 /E2 )  

E1 หมายถึง ประสิทธิภาพของกระบวนการ (ขณะทำงาน)  

E2หมายถึง ประสิทธิภาพของผลลัพธ์

ที่เป็นความรู้ ความจำ ก็มักจะตั้งเกณฑ์ไว้ที่ 80/80 85/85 หรือ 90/90 ส่วนเนื้อหาวิชาที่เป็นด้านทักษะหรือการเปลี่ยนแปลงเจตคติอาจตั้งต่ำกว่า เช่น 70/70 75/75

ขั้นตอนการทดลองหาประสิทธิภาพนวัตกรรม E1/E2        

  1. ทดลองกับกลุ่มตัวอย่างที่เรียกว่า แบบเดี่ยว (หนึ่งคน) หรือ 1:1 หมายถึง ทดลองใช้นวัตกรรมกับนักเรียน 3 คน ที่ประกอบด้วย เก่ง ปานกลางและอ่อน อย่างละ 1 คนแล้วคำนวณหาE1 /E แล้วนำมาปรับปรุง

  2. ทดลองกับกลุ่มตัวอย่างที่เรียกว่าแบบกลุ่ม หรือ 1:10 หมายถึง ทดลองใช้นวัตกรรมกับนักเรียนประมาณ 5-10 คน ที่ประกอบด้วย เก่ง ปานกลางและอ่อนคละกันไปในจำนวนเท่า ๆ กัน แล้วคำนวณหาE1/E แล้วนำมาปรับปรุง

  3. ทดลองกับกลุ่มใหญ่ที่เรียกว่าภาคสนาม หรือ 1 ห้องเรียน หมายถึง ทดลองใช้นวัตกรรมกับนักเรียน 1 ห้องเรียน แล้วคำนวณหาE1/E แล้วนำผลการวิเคราะห์เทียบกับเกณฑ์  ถ้าต่ำกว่าเกณฑ์ไม่เกินร้อยละ 2.5 ก็ยอมรับได้

แหล่งที่มา : บุญเกื้อ ควรหาเวช. (2532). นวัตกรรมการศึกษา. กรุงเทพฯ: เจริญวิทย์การพิมพ์.

8.2 การประเมินคุณภาพสื่อการเรียนรู้

                   การผลิตและของในการให้สื่อในการจัดการเรียนการสอนจะต้องมีขั้นตอนประเมินและจำเป็นในการตรวจสอบคุณภาพของสื่อซึ่ง  กรมวิชาการ  กระทรวงศึกษาธิการ  (2545 : 21 – )  ได้อธิบายหลักการและเหตุผลไว้ว่า  การประเมินคุณภาพของสื่อนั้นบัญญัติไว้ตามมาตรา  64  แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ  2542  ดังนี้  “วิธีจะต้องส่งเสริมสนับสนุนให้มีการผลิตและพัฒนาแบบเรียน  ตำราเรียน  หนังสือทางวิชาการ  สื่อสิ่งพิมพ์อื่น ๆ  วัสดุ  อุปกรณ์  และเทคโนโลยีการศึกษา  ประกอบกับตามความในมาตรา  65  กล่าวว่า  “ให้มีการพัฒนาบุคลากรทั้งด้านผลิต  และผู้ใช้เทคโนโลยีการศึกษา  การศึกษาเพื่อให้มีความรู้ความสามารถ  และทักษะในการผลิต  รวมทั้งเทคโนโลยีที่เหมาะสมมีคุณภาพและประสิทธิภาพ

                   หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน  พ.ศ. 2544  ได้กำหนดลักษณะของสื่อการเรียนรู้ไว้ว่าควรมีความหลากหลายทั้งสื่อธรรมชาติ  สื่อสิ่งพิมพ์  สื่อเทคโนโลยีอื่น ๆ  ในการประเมินสื่อการเรียนรู้อาจมีการลำดับขั้นตอนสิ่งที่ต้องประเมินเพื่อวัดความเหมาะสม  ประสิทธิภาพได้ตามกรมวิชาการ  กระทรวงศึกษาธิการไว้พอสังเขป  ดังนี้

                   วิธีการประเมิน  

                   ในการประเมินสื่อการเรียนรู้ที่จะวัดค่าประสิทธิภาพ  การดำเนินการนั้น  ควรจัดเป็นรูปคณะกรรมการบุคคลหลาย ๆ  ฝ่าย  จำนวน  3 – 5   ดังนี้

  1. ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่าง ๆ  ที่ประเมิน  ซึ่งจะช่วยพิจารณาในหลักวิชาการของสิ่งที่ประเมินได้ถูกต้องเหมาะสม

  2. ผู้มีประสบการณ์ด้านการสอนหรือการนิเทศ  ซึ่งจะช่วยในแง่เนื้อหาที่นำเสนอกับวัย ของผู้เรียน

  3. ผู้มีความรู้ความเข้าใจในหลักสูตร  ซึ่งจะเป็นผู้ที่ช่วยตรวจพิจารณาว่ามีความสอดคล้องกับหลักสูตรสถานศึกษาหรือไม่

แหล่งที่มา : สิวาวุธ สุทธิ. (2555). การจัดการนวัตกรรมและสารสนเทศ (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก

          https://www.gotoknow.org/posts/338714 วันที่สืบค้น 13 กันยายน 2560

3 การหาประสิทธิภาพของสื่อการสอน

การหาประสิทธิภาพมีวิธีการ ดังนี้ คือ

  1. การให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบตรวจสอบด้านเนื้อหา และสื่อ ประเมินความตรงของเนื้อหา ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ ประเมินความเชื่อมั่น ว่ามีความเชื่อมั่นเพียงไรตรวจสอบ ด้านตัวสื่อด้านการออกแบบคอมพิวเตอร์ ประเมินลักษณะของสื่อ อักษร ภาพ ภาพเคลื่อนไหว กราฟิกเนวิเกชั่น และอื่นๆ

  2. การหาประสิทธิภาพ หมายถึง การหาคุณภาพของสื่อตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยไปวัดจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง ซึ่ง อาจเป็น กลุ่มเล็ก 3 คน มีเด็กเก่ง 1 คน กลาง 1 คน อ่อน 1 คน กลุ่มกลาง 9 คน มีเด็กกลุ่ม เก่ง 3 คน กลุ่มกลาง 3 คน กลุ่มอ่อน 3 คน กลุ่มใหญ่ 30 คน มีเด็กกลุ่ม เก่ง 10 คน กลุ่มกลาง 10 คน กลุ่มอ่อน 10 คนเมื่อได้เรียนจนจบบทเรียนแล้ว การหาประสิทธิภาพของบทเรียน

2.1 โดยการหา E1/E2 และสามารถบอกได้ว่าสื่อของเราสามารถใช้กับเด็ก ทั้ง3 กลุ่ม E1 คือ คะแนนกิจกรรมระหว่างเรียน E2 คือ คะแนนทดสอบหลังเรียนซึ่ง E2 อาจจะแบ่งแบบทดสอบหลังจากการเรียนจบหนึ่งหน่วยเลยก็ได้ เช่น การทดสอบท้ายบทเรียนแต่ละหน่วย และ E1/E2ที่ได้จะเป็นเท่าใดก็ได้แต่ให้สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ และ E1ควรสูงกว่าE2

2.2 การประเมินด้วยการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนและแบบทดสอบที่สร้างต้องผ่านการประเมินแบบทดสอบก่อนในการวัดผลการเรียนรู้ผู้สอนต้องมีความแน่ใจว่าเครื่องมือที่วัดนั้นมีคุณภาพดีพอก่อนนําไปใช้จริง ซึ่งลักษณะของเครื่องมือวัดผลการเรียนรู้ที่ดีควรมีลักษณะดังนี้ 1. มีความเที่ยงตรง ( validity ) ค่า IOC แต่ละข้อต้องมีค่ามากกว่า 0.5 ซึ่งหมายถึงวัดได้ตรงตามจุดประสงค์ของการวัด 2. มีความเชื่อมั่น ( Reliability ) ของแบบทดสอบทั้งฉบับมีค่าไม่ต่ำกว่า 0.7 ซึ่งแสดงว่าเครื่องมือวัดให้ผลการวัดที่สม่ำเสมอ แน่นอน คงที่ แม้จะวัดกี่ครั้งก็ตาม

  1. มีค่าความยากระหว่าง 0.2 – 0.8 ไม่ควรยากเกินไปและไม่ง่ายเกินไป 4. มีค่าอํานาจจําแนก ระหว่าง 0.2 – 1.0 เพราะค่ายิ่งมากยิ่งดี ซึ่งต้องผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ

    แหล่งที่มา : ครูบ้านนอก.(2552).การหาประสิทธิภาพสื่อ.(ออนไลน์) สืบค้นจาก http://www.kroobannok.com/8096  วันที่สืบค้น 13 กันยายน 2560

4 การทดสอบประสิทธิภาพของสื่อการสอน

ทดสอบประสิทธิภาพชุดการสอน

เลิศ  อานันทนะและคนอื่นๆ(2537, หน้า 494) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการทดสอบประสิทธิภาพของชุดการสอนว่า เป็นคำที่มาจักภาษาอังกฤษ Developmental Testing (การตรวจสอบพัฒนาการเพื่อให้งานดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ) หมายถึง การนำชุดการสอนไปทดลองใช้ (Try out) เพื่อปรับปรุงแล้วจึงนำไปสอนจริง (Trail run) นำผลที่ได้มาปรับปรุงแก้ไข เสร็จแล้วจึงผลิตออกมาเป็นชุดการสอนที่มีประสิทธิภาพ
การทดลองใช้ หมายถึง การนำชุดการสอนที่ผลิตเป็นต้นแบบไปทดลองใช้ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในแต่ละระบบ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของชุดการสอนให้เท่ากับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 
การทดลองสอนจริง หมายถึง การนำชุดการสอนที่ทำการทดลองใช้และปรับปรุงแล้วของทุกหน่วยในแต่ละวิชาไปสอนจริงในชั้นเรียน หรือในสถานการณ์เรียนที่แท้จริง ความจำเป็นที่ต้องการทดสอบประสิทธิภาพในระบบการผลิตทุกประเภทจะต้องมีการตรวจสอบเสียก่อน เพื่อเป็นการประกันว่าจะมีประสิทธิภาพจริงตามที่มุ่งหวังไว้ การทดสอบประสิทธิภาพของชุดการสอนมีความจำเป็นสำหรับผู้ผลิต ผู้ใช้ ซึ่งแยกอธิบายได้ดังนี้ 
          สำหรับหน่วยงานผลิตชุดการสอน เป็นการประกันคุณภาพของชุดการสอนว่าอยู่ในขั้นที่พอเหมาะที่จะลงทุนผลิตออกแบบมาเป็นจำนวนมากหรือไม่ หากไม่มีการทดสอบประสิทธิภาพเสียก่อนถ้าผลิตออกมาใช้ประโยชน์ไม่ดี ก็จำเป็นต้องทำใหม่ เป็นการสิ้นเปลืองเวลา แรงงาน และเงินทุน 
          สำหรับผู้ที่ใช้ชุดการสอน ก่อนนำชุดการสอนไปใช้ ครูควรมั่นใจว่าชุดการสอนนั้นมีประสิทธิภาพในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่แท้จริง การทดสอบประสิทธิภาพตามลำดับขั้นจะช่วยให้ชุดการสอนที่ค่าทางการสอนจริงตามที่เกณฑ์กำหนดไว้
          สำหรับผู้ผลิตชุดการสอน การทดสอบประสิทธิภาพจะทำให้ผู้ผลิตมั่นใจได้ว่าเนื้อหาที่บรรจุลงในชุดการสอนเหมาะสม ง่ายต่อการเข้าใจ ช่วยให้ผู้ผลิตมีความชำนาญสูงขึ้น เป็นการประหยัดแรงงาน แรงสมอง เวลา และเงินทองในการเตรียมต้นแบบ

 การกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพ

ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2531, หน้า 490-492) อธิบายถึงเกณฑ์และการกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพของชุดการสอนไว้ดังนี้
เกณฑ์ประสิทธิภาพ หมายถึง ระดับประสิทธิภาพของชุดการสอนที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เป็นระดับที่ผู้ผลิตชุดการสอนพึงพอใจ หากชุดการสอนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ แสดงว่าชุดการสอนนั้นมีคุณค่าที่จะนำไปสอน และคุ้มค่ากับการลงทุนผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก 
การกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพ ทำโดยการประเมินผลพฤติกรรมของผู้เรียน ซึ่งประเมินออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ประเมินพฤติกรรมต่อเนื่อง (กระบวนการ) และประเมินพฤติกรรมขั้นสุดท้าย (ผลลัพธ์) การประเมินพฤติกรรมต่อเนื่องจะเป็นการกำหนดค่าของประสิทธิภาพ E1 ซึ่งเป็นประสิทธิภาพของกระบวนการ และประเมินพฤติกรรมขั้นสุดท้ายจะกำหนดค่าเป็น E2 คือประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ประเมินพฤติกรรมต่อเนื่องเป็นการประเมินผลพฤติกรรมย่อย หลายพฤติกรรมอย่างต่อเนื่อง เรียกว่า กระบวนการ(Process) ของผู้เรียนโดยสังเกตจากรายงานกลุ่ม การรายงานบุคคลหรือจากการปฏิบัติงามตามที่ได้รับมอบหมาย ตลอดจนทำกิจกรรมอื่นๆ ที่ครูผู้สอนได้กำหนดไว้ ประเมินพฤติกรรมขั้นสุดท้ายเป็นการประเมินผลลัพธ์(Product) ของผู้เรียนโดยพิจารณาจากผลการสอบหลังเรียน และสอบปลายปีและปลายภาค

          ประสิทธิภาพของชุดการสอน จะกำหนดเป็นเกณฑ์ที่ครูผู้สอนคาดว่าผู้เรียนจะเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นที่พึงพอใจ โดยกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ของผลเฉลี่ยคะแนนการทำงานและการปฏิบัติกิจกรรมของผู้เรียนทั้งหมดต่อเปอร์เซ็นต์ผลการทดสอบหลังเรียนของผู้เรียนทั้งหมด สรุปแล้วหมายถึง E1 และ E2 คือประสิทธิภาพของกระบวนการและประสิทธิภาพของผลลัพธ์

5 การนำนวัตกรรมการเรียนรู้ไปใช้ประโยชน์

การนำนวัตกรรมการเรียนรู้ไปใช้ประโยชน์ (Implication of Learning Innovation)

 นวัตกรรมการเรียนรู้ ( learning innovation )  สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในวงการศึกษาสรุปได้   ดังนี้

     1.เพื่อนำนวัตกรรมมาใช้แก้ปัญหาในเรื่องการเรียนการสอน  เช่น 

           1.1  ปัญหาเรื่องวิธีการสอน ปัญหาที่มักพบอยู่เสมอ คือ ผู้สอนส่วนใหญ่ยังคงยึดรูปแบบการสอนแบบบรรยาย โดยมีครูเป็นศูนย์กลางมากกว่าการสอนในรูปแบบอื่น การสอนด้วยวิธีการแบบนี้เป็นการสอนที่ขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในบั้นปลาย เพราะนอกจากจะทำให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่ายขาดความสนใจแล้ว ยังเป็นการปิดกั้นความคิดและสติปัญญาของผู้เรียนให้อยู่ในขอบเขตจำกัดอีกด้วย

          1.2  ปัญหาด้านเนื้อหาวิชาบางวิชาเนื้อหามากและบางวิชามีเนื้อหาเป็นนามธรรมยากแก่การเข้าใจ จึงจำเป็นจะต้องนำเทคนิคการสอนและสื่อมาช่วย

             1.3  ปัญหาด้านการวัดและประเมินผล เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำครูผู้สอนนำไปใช้ในการปรับกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นหรือใช้ผลการประเมินเป็นข้อมูลย้อนกลับในการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนได้

           1.4  ปัญหาเรื่องอุปกรณ์การสอน บางเนื้อหามีสื่อการสอนเป็นจำนวนน้อยไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้เพื่อทำให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาวิชาได้ง่ายขึ้นจึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาคิดค้นหาเทคนิควิธีการสอน   และผลิตสื่อการสอนใหม่ ๆ เพื่อนำมาใช้ทำให้การเรียนการสอนบรรลุเป้าหมายได้

  1.    เพื่อนำนวัตกรรมไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน การสร้างองค์ความรู้ใหม่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาโดยการนำสิ่งประดิษฐ์หรือแนวความคิดใหม่ ๆ ในการเรียนการสอนนั้นเผยแพร่ไปสู่ครู – อาจารย์ท่านอื่นๆ หรือเพื่อเป็นตัวอย่างอีกรูปแบบหนึ่งให้กับครู – อาจารย์ที่สอนในวิชาเดียวกันได้นำแนวความคิดไปปรับปรุงใช้หรือผลิตสื่อการสอนใหม่ ๆ เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนต่อไป  

  2.    การนำนวัตกรรมไปใช้เป็นผลงานทางวิชาการ  นวัตกรรมการเรียนรู้นอกจากจะเป็นประโยชน์ในด้านการปรับปรุงและพัฒนางานหรือการจัดการเรียนการสอนแล้ว ยังเป็นประโยชน์ ต่อการพัฒนาวิชาชีพอีกด้วย โดยผู้สร้างนวัตกรรมสามารถนำผลจากการนำนวัตกรรมไปใช้เป็นผลงานวิชาการเพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะ หรือปรับตำแหน่งให้สูงขึ้นได้

 ตัวอย่างนวัตกรรมการเรียนรู้ที่นำไปใช้ในการพัฒนาเรียนการสอน 

 บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI ) 

   ที่มีประสิทธิภาพที่สามารถทำให้ผู้เรียนที่เรียนด้วยบทเรียนนี้เกิดการเรียนรู้ตรงตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร

สื่อประสม  (Multi Media) สื่อประสม  หมายถึง การนำเอาสื่อหลาย ๆ ประเภทมาใช้ร่วมกันทั้งวัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดในการเรียนการสอน โดยการใช้สื่อแต่ละอย่างตามลำดับขั้นตอนของเนื้อหา และในปัจจุบันมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ร่วมด้วยเพื่อการพลิกหรือการควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการเสนอข้อมูลทั้งตัวอักษร ภาพกราฟิก ภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหวแบบวีดิทัศน์และเสียง
 ความจริงเสมือน   (Virtual Reality)   หรือที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า     “   วีอาร์   ” (VR) เป็นกลุ่มเทคโนโลยีเชิงโต้ตอบที่ผลักดัน     ให้ผู้ใช้เกิดความรู้สึกของการเข้าร่วมอยู่ภายในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้มีอยู่จริงที่สร้างขึ้นโดยคอมพิวเตอร

อินเทอร์เน็ต     (Internet)  อินเทอร์เน็ต   คือ     ระบบของการเชื่อมโยงข่ายงานคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่มากครอบคลุมไปทั่วโลก เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการสื่อสารข้อมูล เช่นการบันทึกเข้าระยะไกล ฯลฯ

แหล่งที่มา : สุธาสินี  นาคกรด (2555). การนำนวัตกรรมการเรียนรู้ไปใช้ประโยชน์ (Implication of Learning Innovation). (ออนไลน์) สืบค้นจาก https://www.gotoknow.org/posts/503163

   วันที่สืบค้น 13 กันยายน 2560

7. การสร้าง พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้

7.1 ความหมายของการพัฒนานวัตกรรมการศึกษา

การพัฒนานวัตกรรมการศึกษา (Educational Innovation) หมายถึง การกระทำใหม่ การสร้างใหม่ หรือการพัฒนาดัดแปลงจางสิ่งใดๆ แล้วทำให้การศึกษาหรือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิม ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนเปลี่ยนแปลงในการเรียนรู้ เกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว มีแรงจูงใจในการเรียน ทำให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดกับผู้เรียน

7.2 องค์ประกอบของการวิจัยและพัฒนาทางการศึกษา

การวิจัยและพัฒนาทางการศึกษาประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ 4 องค์ประกอบ คือ

  1. ผู้ใช้ผลการวิจัยและพัฒนา ได้แก่ ผู้ที่ต้องการนำวิทยาการใหม่จากการวิจัยและการพัฒนาไปใช้งาน ซึ่งผู้ต้องการใช้ผลการวิจัยจะเป็นผู้กำหนดเป้าหมายของการวิจัยแต่ละครั้ง

  2. นักวิจัย ได้แก่ ผู้ทำการวิจัย มีหน้าที่วางแผนการวิจัยให้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ในการช่วยหาคำตอบเพื่อการแก้ปัญหาแก่ผู้ที่จำนำไปใช้

  3. สถาบันที่ให้การสนับสนุนทุนเพื่อการวิจัย ได้แก่ หน่วยงานราชการและองค์กรธุรกิจเอกชนต่างๆ

  4. สิ่งที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนา ได้แก่ ปัจจัยส่งเสริมต่างๆ เช่น ห้องสมุดและสารสนเทศสำหรับเตรียมข้อมูลในการวิจัย

7.3 ประเภทของนวัตกรรมการศึกษา มี 5 ประเภทได้แก่

มีทั้งประเภทที่เป็นนวัตกรรมแบบใหม่หมดและนวัตกรรมที่เป็นแบบใหม่บางส่วนโดยแบ่งเป็น 5 ประเภท ได้แก่

  1. นวัตกรรมด้านสื่อสารการสอน

  2. นวัตกรรมด้านวิธีการจัดการเรียนการสอน

  3. นวัตกรรมด้านหลักสูตร

  4. นวัตกรรมด้านการวัดและการประเมินผล

  5. นวัตกรรมด้านการบริหารจัดการ

7.4 กระบวนการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษา

กระบวนการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษามีขั้นตอนที่สำคัญประกอบด้วย

  1. กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้

  2. กำหนดกรอบแนวคิดของกระบวนการเรียนรู้

  3. สร้างต้นแบบนวัตกรรม

  4. ทดลองใช้นวัตกรรม

  5. เผยแพร่นวัตกรรม

7.5 ขั้นตอนการพัฒนานวัตกรรม มี 9 ขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่ 1. สร้างกรอบแนวคิดในการพัฒนา

ขั้นตอนที่ 2. วิเคราะห์หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน

ขั้นตอนที่ 3. กำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้

ขั้นตอนที่ 4. กำหนดคุณลักษณะนวัตกรรมการเรียนรู้

ขั้นตอนที่ 5. สำรวจทรัพยากรการพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้

ขั้นตอนที่ 6. ออกแบบนวัตกรรมการเรียนรู้

ขั้นตอนที่ 7. วางแผนและดำเนินการพัฒนาการเรียนรู้

ขั้นตอนที่ 8. ตรวจสอบ ทดลองและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้

ขั้นตอนที่ 9. สรุปและประเมินผลการเรียนรู้

7.6 ตัวอย่างการสร้างและพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน

1.ชื่อนวัตกรรมการเรียนการสอน

แบบฝึกทักษะการอ่าน การเขียน โดยใช้มาตราตัวสะกด แม่ ต่างๆ

2.ชื่อผู้สร้าง/พัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน

ชื่อ นายปัญญาสีม มูณี ตำแหน่ง ครูอัตราจ้าง โรงเรียนบ้านคลองกั่ว อำเภอรัตภูมิ จังหวัด สงขลา เครือข่ายสถานศึกษาที่ 9 โทร.- มือถือ 081-9572348 E-mail address pa_ufa@hotmail.com

3.แนวทางการคิดค้นนวัตกรรมการเรียนการสอน

สร้างนวัตกรรมการเรียนการสอนขึ้นมาใหม่ โดยอาศัยคำพื้นฐานชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3

4.ประเภทของนวัตกรรมการเรียนการสอน

สื่อการเรียนการสอน

5.ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาที่ต้องสร้าง/พัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน

เนื่องจากนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองกั่ว บางคนมีความบกพร่องทางด้านการอ่าน การเขียน ดังนั้นครูต้องแก้ปัญหาเพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้ทันเพื่อนร่วมห้อง จึงได้จัดทำสื่อขึ้นเพื่อนำมาใช้สอนซ่อมเสริมนักเรียน

6.วัตถุประสงค์ของการสร้าง/พัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน

  1. เพื่อแก้ปัญหานักเรียนเรียนรู้ช้า

  2. เพื่อฝึกทักษะการอ่านการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3

  3. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3

7.กลุ่มเป้าหมาย/ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง

นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองกั่ว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสงขลา เขต 2จำนวน 11 คน

8.หลักการ แนวคิด ทฤษฎีที่ใช้ในการสร้าง/พัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน

วสันต์ อติศัพท์ กล่าวไว้ว่า นวัตกรรม หรือ นวกรรม เป็นคำสมาสระหว่าง “นว” และ “กรรม” ซึ่งมีความหมายว่า ความคิดและการกระทำใหม่ ๆ ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า

คณะกรรมการพิจารณาศัพท์วิชาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ บัญญัติ คำว่า นวัตกรรม (Innovation) ขึ้นเดิมใช้ นวกรรม มาจากคำกริยาว่า Innovate มาจากรากศัพท์ ภาษาอังกฤษว่า Inovare (in(=in)+novare= to renew, to modify) และnovare มาจากคำว่า novus (=new)

Innovate แปลตามรูปศัพท์ได้ว่า “ทำใหม่,เปลี่ยนแปลงโดยนำสิ่งใหม่ๆ เข้ามา “Innovation = การทำสิ่งใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ ที่ทำขึ้นมา (International Dictionary)

กิดานันท์ มลิทอง (2543 : 245) ได้กล่าวไว้ว่า นวัตกรรม เป็นแนวความคิด การปฏิบัติหรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อนหรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงจากของเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น เมื่อนำนวัตกรรมมาใช้จะช่วยให้การทำงานนั้นได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม ทั้งยังช่วยประหยัดเวลาและแรงงานได้ด้วย

นวัตกรรมทางการศึกษา (Educational Innovation) หมายถึง การนำเอาสิ่งใหม่ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของความคิดหรือการกระทำรวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ก็ตามเข้ามาใช้ในระบบการศึกษาเพื่อมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิมให้ระบบการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นทำให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเกิดแรงจูงใจในการเรียนและช่วยให้ประหยัดเวลาในการเรียน เช่น การสอนใช้คอมพิวเตอร์ช่วย การใช้วีดิทัศน์เชิงโต้ตอบ (Interactive Video) สื่อหลายมิติ (Hypermedia) และอินเตอร์เน็ต เหล่านี้เป็นต้น

นวัตกรรม (Innovation) ในการจัดการเรียนการสอน เช่น การใช้เทคนิคและวิธีการใหม่ ใช้วิธีการสอนแบบใหม่ เปลี่ยนไปจากการใช้วิธีบรรยาย ซักถามธรรมดา การผลิตวัสดุ อุปกรณ์ใหม่ ๆ ขึ้นมาใช้ในการเรียนการสอน (Instructional Materials) การจัดทำ จัดหาพวกวัสดุ อุปกรณ์ที่ทำขึ้นเองได้ ซึ่งเป็นพวก Software เช่น การทำแผนภาพ แผนภูมิ หาวัสดุในท้องถิ่นเป็นอุปกรณ์ในการสอน การจัดทำ “บทเรียนสำเร็จรูป” “บทเรียนโปรแกรม” เพื่อใช้ในการเรียนการสอนและการสอนซ่อมเสริม การจัดให้นักเรียนเก่งช่วยนักเรียนอ่อน ให้นักเรียนเป็นผู้ช่วยครู (Teacher assistant) เป็นต้น

บรรณานุกรม

เกริก ศักดิ์สุภาพ. “การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาวิชาฟิสิกส์ (PECA) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย” (2556) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์. “80 นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ” (2558). พิมพ์ครั้งที่ 8 (ฉบับปรับปรุง) : พี บาลานซ์ดีไซด์แอนปริ้นติ้ง.

ฐิตารีย์ สว่างมณี. .“เอกสารประกอบ โครงการพัฒนาบุคลลากรด้วย ระบบพี่เลี้ยงและการให้คำปรึกษา (Mentoring)” (2555).

สมคิด พรมจุ้ยและสุพักตร์ พิบูลย์. “การพัฒนาชุดฝึกอบรมทางไกล เรื่องการวิจัยและพัฒนางานวิชาการ” (2552). มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.

มนสิช สิทธิสมบูรณ์. “การพัฒนานวัตกรรมการศึกษา” คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร.

ชัยยงค์ พรหมวงศ์. “การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา” (2556). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.educ.su.ac.th/2013/images/stories/210655_01.pdf. สืบค้น 20 ธันวาคม 2560

สัมมนาหลังฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู 2

หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู จัดกิจกรรมสัมมนาหลังฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู 2 ในวันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม 2560 ณ ห้องประชุมศูนย์ศิลปวัฒนธรรม

ความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทของครูในการประกันคุณภาพภายนอกและการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา

บทบาทของครูในการประกันคุณภาพการศึกษา

หัวใจของการประกันคุณภาพการศึกษา คือ การประกันคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เต็มตามศักยภาพ ซึ่งต้องเริ่มต้นที่การประกันคุณภาพภายใน โดยการปฏิรูปการสอนของครู

บทบาทของครูในการประกันคุณภาพภายใน

บทบาทสำคัญของครูในการประกันคุณภาพภายใน คือ การประกันคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งต้องมีการปฏิรูปการสอน เพื่อปฏิรูปการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา (รุ่ง แก้วแดง 2544: 111-112) การปฏิรูปการสอนของครูเพื่อประกันคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ประกอบด้วยบทบาทหน้าที่สำคัญ 3 ประการ คือ (1) การปฏิบัติงานปกติของครูอย่างมีระบบและกระบวนการ (2) การประเมินตนเอง และ3.การรายงานผลการประเมินตนเอง ซึ่งครูแต่ละคนสามารถกำหนดกระบวนการทำงานของตนเองได้ อาจจำแนกเป็นขั้นตอนได้ดังนี้ (รุ่ง  แก้วแดง 2544 : 94-96)

ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาเรื่องมาตรฐานการศึกษาและหลักสูตรให้เข้าใจ ถ้าเป็นไปได้ควรศึกษาให้ครบทั้งหน่วยของการเรียนที่อาจจะกำหนดเป็นภาคเรียนหรือทั้งปีการศึกษา และนำมาพัฒนาหลักสูตรรายวิชาที่ตนสอนอยู่

ขั้นตอนที่ 2 วางแผนการสอน ว่าควรจะสอนอย่างไร รวมทั้งจะต้องสามารถกำหนดสิ่งที่จะบรรลุผลหรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นหรือพฤติกรรมของนักเรียนที่จะเกิดขึ้นหลังจากได้รับการศึกษา โดยเน้นการจัดกิจกรรมและการใช้สื่อที่ส่งเสริมการเรียนรู้

ขั้นตอนที่ 3 นำกระบวนการวิจัยเข้ามาใช้ในการสอนของครู และการเรียนของนักเรียนเพื่อสร้างสรรค์ความรู้ควบคู่การเรียนรู้

ขั้นตอนที่ 4 ดำเนินการสอน โดยทำงานร่วมกับผู้เรียนหมายความว่า ต้องลดบทบาทการบอกของครูมาเป็นการทำงานร่วมกับผู้เรียน โดยอำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนได้มีบทบาทในการเรียนมากขึ้น

ขั้นตอนที่ 5 ประเมินผลการสอน ว่าสิ่งที่ครูสอนไปนั้นบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้มากน้อยเพียงใด โดยวัดจากผลการเรียนรู้ของผู้เรียน พิจารณาเป็นรายบุคคลและรายชั้นเรียน

ขั้นตอนที่ 6 วิเคราะห์ เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนในวงจรต่อไป

ขั้นตอนที่ 7 บันทึกสรุปผลการสอน ว่าในคาบหรือหน่วยนั้นมีความสำเร็จ บรรลุตามเป้าหมายมากน้อยเพียงใด มีปัญหาและอุปสรรคที่ต้องแก้ไขอย่างไร มีคำแนะนำเพื่อจะนำไปปรับปรุงต่อไปอย่างไร โดยบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้เป็นหนึ่งหน่วย

เขียนเป็นแผนภูมิได้ดังนี้

กกกห

สำหรับบทบาทหน้าที่ของครูในการประกันคุณภาพภายในทั้งระบบควรเป็นดังนี้

1.มีการเตรียมความพร้อมของตนเอง โดยทำการศึกษาให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการ วิธีการ ขั้นตอนในการประเมินผลภายใน รวมทั้งพยายามสร้างเจตคติที่ดีต่อการประเมินภายใน

2.ให้ความร่วมมือกับสถานศึกษาในการให้ข้อมูลพื้นฐานทั่วไปที่คณะกรรมการประเมินผลภายในต้องการ

3.ให้ความร่วมมือกับสถานศึกษาเมื่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการในกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งของการประเมินผลภายใน เช่น เข้าร่วมพิจารณาจัดทำปฏิทินการปฏิบัติงานด้านการประเมินผลภายในสถานศึกษา ร่วมกันพิจารณาจัดสร้างเครื่องมือในการจัดเก็บข้อมูลลักษณะต่างๆ ในกระบวนการประเมินผลภายใน ร่วมกันทำการสำรวจเก็บข้อมูลที่คณะกรรมการสำรวจ ร่วมกันทำการวิเคราะห์ข้อมูล (หากมีความรู้ด้านการวิเคราะห์) ร่วมกันสรุปผลการประเมิน เป็นต้น

4.ให้ความร่วมมือกับสถานศึกษา ในการร่วมกันกำหนดจุดประสงค์ กำหนดมาตรฐานและตัวบ่งชี้ในการประเมินด้านต่าง ๆ ของสถานศึกษาเอง และร่วมกันกำหนดเกณฑ์การตัดสินมาตรฐานและตัวบ่งชี้ในด้านต่าง ๆ

5.ปฏิบัติหน้าที่หลักหรือหน้าที่ประจำที่รับผิดชอบอย่างมีระบบ ตามกระบวนการและสอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษา เช่น ในหน้าที่การสอนต้องมีการพัฒนาหลักสูตรและแผนการสอนที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญ จัดเตรียมเนื้อหาสาระที่ถูกต้องเหมาะสมกับจุดประสงค์การเรียนการสอน จัดทำสื่อการสอนที่มีประสิทธิภาพตรงตามจุดประสงค์การเรียนการสอน จัดกิจกรรม วิธีการเรียนรู้ที่สร้างให้ผู้เรียนเกิดการค้นคว้าหาความรู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง เลือกวิธีการประเมินผลการเรียนหลากหลายและเหมาะสมรวบรวมผลสรุปผล ประเมินการเรียนการสอน พฤติกรรมของผู้เรียน นำผลการประเมินมาปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น

บทบาทของครูในการรับการตรวจสอบและประเมินจากภายนอก

การประกันคุณภาพภายนอกเป็นงานที่ต่อเนื่องจากการประกันคุณภาพภายใน ซึ่งสถานศึกษาจะต้องจัดทำรายงานการประเมินตนเองเป็นประจำทุกปี เพื่อเสนอสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา เพื่อรับการประเมินคุณภาพภายนอก (สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา 2544: 7) บทบาทของครูในการรับการตรวจสอบและการประเมินคุณภาพจากภายนอก มี 3 บทบาท คือ

  1. ร่วมจัดทำรายงานการศึกษาตนเอง (SSR) ของสถานศึกษา

  2. รับการตรวจเยี่ยมของผู้ประเมินจากภายนอก

  3. รับข้อเสนอแนะจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษามาดำเนินการให้มีการปรับปรุงแก้ไข

ครูกับการประกันคุณภาพการศึกษา 

ผู้มีความสําคัญต่อการประกันคุณภาพการศึกษาอย่างยิ่งคือครู ครูเป็นผู้นําหลักการต่างๆสู่การปฏิบัติ

ครูต้องจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนอยู่ในระดับน่าพอใจ เอาใจใส่ทุกขั้นตอน ตั้งแต่ศึกษาหลักฐาน ศึกษาผู้เรียน เตรียมการสอนให้เหมาะสม ตั้งใจสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญประเมินความเข้าใจเป็นระยะ มีแบบฝึกหัดให้ทําและตรวจอย่างพิถีพิถัน ทําการวัดผลตามความจริง

ครูทําหน้าที่อื่นๆให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นครูประจําชั้น การให้คําแนะนํา คําปรึกษา ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องส่วนตัว การพบผู้ปกครอง การมีส่วนร่วมในกิจกรรม ชุมชน เป็นต้น

ครูต้องรู้จักมาตรฐานการประกันคุณภาพภายใน ซึ่งเป็นมาตรฐานการ ปฏิบัติงานต้องใส่ใจจดจํารายละเอียดของมาตรฐานด้านการเรียนการสอน ซึ่ง เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของครู และความสามารถของครูในการจัดการเรียนการสอน มาตรฐานด้านคุณภาพผู้เรียน ครูต้องเห็นเป็นเรื่องสําคัญที่จะจัดกิจกรรม ดําเนินการ บรรลุมาตรฐาน เก็บหลักฐาน อย่างเป็นระบบ บันทึกทุกเรื่อง (อย่างมีรายละเอียด) ที่ ทําได้สอดคล้องกับสิ่งที่กําหนดไว้เป็นเกณฑ์การประเมินคุณภาพ

ครูทุกคนต้องเห็นการประกันคุณภาพเป็นงานหลักที่ทุกคนมีหน้าที่ดําเนินงาน และมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพ และได้คุณภาพ (ครูกับการประกันคุณภาพการศึกษา.  2560: ออนไลน์)

ดังที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า ครูมีความสำคัญต่อการประกันคุณภาพการศึกษา ซึ่งครูต้องจัดการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ อีกทั้งครูต้องให้คำแนะนำ คำปรึกษาทั้งเรื่องเรียนและเรื่องส่วนตัว อีกอย่างครูต้องรู้จักมาตรฐานการประกันคุณภาพภายใน รายละเอียดของมาตรฐานการเรียนการสอน มาตรฐานด้านคุณภาพผู้เรียน สอดคล้องกับสิ่งที่กำหนดไว้เป็นเกณฑ์การประเมินคุณภาพ ดังนั้นครูทุกคนต้องเห็นการประกันคุณภาพเป็นงานหลัก มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพและได้คุณภาพ

บทบาทหน้าที่ของคณะครูและบุคลากรภายในสถานศึกษา

คณะครูและบุคลากรภายในสถานศึกษาเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญส่วนหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาในทุกขั้นตอน  ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภายนอก  โดยมีบทบาทสรุปได้ดังนี้

  1. พัฒนาตนเองในด้านความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษา เพื่อให้เกิดความตระหนักและเห็นความสำคัญ ตลอดจนมีเจตคติที่ดีต่อการประกันคุณภาพการศึกษา

  2. ร่วมกับผู้บริหารเตรียมการวางแผนและจัดทำระบบข้อมูลสารสนเทศภายในสถานศึกษา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ส่งเสริมให้นักเรียนได้พัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ และพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในและการประกันคุณภาพภายนอก

  3. ดำเนินการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพตามแผน โครงการ/กิจกรรมที่วางไว้ โดยพยายามประสานความร่วมมือในระหว่างเพื่อนร่วมงาน  ผู้บริหาร  และผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการส่งเสริมสนับสนุนให้การพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

  4. ตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงาน เมื่อดำเนินการพัฒนาตามแผนที่วางไว้แล้ว จำเป็นจะต้องทำการตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติงานของตนเอง  โดยต้องกำหนดกรอบการประเมินตนเอง  สร้างเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินตนเอง  ทำการประเมินตนเองตามกรอบที่กำหนดไว้  และทำการวิเคราะห์ข้อมูลและประเมินผล  หลังจากนั้นคณะกรรมการต้องร่วมกันเขียนรายงานการประเมินตนเองตามสภาพที่เป็นจริงของแต่ละโครงการ/กิจกรรม

  5. ปรับปรุงพัฒนา หลังจากแต่ละโครงการ/กิจกรรมทำการประเมินตนเองและทราบผลการประเมินตนเองแล้ว คณะครูและบุคลากรที่เกี่ยวข้องในแต่ละแผนงาน  โครงการ/กิจกรรม  ต้องนำผลการประเมินไปใช้ในการปรับปรุงพัฒนาการปฏิบัติงานของตนเองและนำไปวางแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาในปีการศึกษาต่อไป (สุทัศน์ มีมุข.  2560: ออนไลน์)

บทบาทของครูในการประกันคุณภาพภายนอกจึงมีความสัมพันธ์กับบทบาทของครูในการประกันคุณภาพภายใน ดังแผนภูมิต่อไปนี้

กฟหกอด

บทบาทของครูในการประกันคุณภาพภายใน คือ การประกันคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ประกอบด้วย บทบาทหน้าที่ 3 ประการ คือ

1. การปฏิบัติงานปกติของครูอย่างมีระบบและกระบวนการ

โดยครูมีการจัดระบบประกันคุณภาพการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แท้ (การเรียนรู้ที่มีคุณภาพ) ดังนี้

  • จัดเนื้อหาสาระ กิจกรรมให้ตรงกับความสนใจ ความถนัดของผู้เรียน

  • ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ การประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อป้องกันและแก้ปัญหา

  • เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่าน และใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง

  • เรียนได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ด้วยความร่วมมือของพ่อแม่ ผู้ปกครอง ชุมชน

  • ผสมผสานความรู้ด้านต่างๆได้สมดุล ปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงาม และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ทุกวิชา

  • สร้างบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียนที่เอื้อต่อการเรียนรู้และการวิจัย (ตุนท์ ชมชื่น.  2560: ออนไลน์)

    2. การประเมินตนเอง

ในการประเมินตนเองคือการทบทวนการปฏิบัติงานของครูที่ส่งผลต่อการพัฒนาตนเอง อีกทั้งยังก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง โรงเรียน และชุมชน และบทบาทหน้าที่ของครูที่มีต่อโรงเรียนในช่วงเวลาที่ผ่านมาว่ามีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพเหมาะสมหรือไม่ เพียงใด อย่างไร และอยู่ในระดับใด (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา.  2560: ออนไลน์)

3. การรายงานผลการประเมินตนเอง

โดยการรายงานผลการประเมินตนเอง จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอผลการจัดการเรียนการสอน การส่งเสริม พัฒนาผู้เรียน ตลอดจนการปฏิบัติงานและการพัฒนาตนเองของครู และเพื่อนำเสนอให้ฝ่ายบริหารได้รับทราบผลการปฏิบัติงานตามแนวทางการประกันคุณภาพการศึกษา  มาตราที่ 50  หมวดที่ 6   ว่าด้วยมาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา   มาตรฐานวิชาชีพครู  ซึ่งจะนำไปสู่การวางแผนปรับปรุงพัฒนาการจัดการศึกษาในโรงเรียน ตลอดจนนำข้อมูลสารสนเทศที่ได้จากครูไปสู่การพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาให้เข้มแข็ง ตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (การประกันคุณภาพภายในการศึกษา.  2560: ออนไลน์)

ส่วนบทบาทของครูในการประกันคุณภาพภายนอก เป็นบทบาทที่ต่อเนื่องจากการประกันคุณภาพภายใน อีก 3 ประการ คือ

1. ร่วมจัดทำรายงานพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา

โดยทางโรงเรียน คณะครูและผู้ที่เกี่ยวข้องได้จัดทำรายงานพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ขึ้นตามกฎกระทรวงว่าด้วยระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ. 2553 ข้อ 15 (7)  ที่ระบุให้สถานศึกษาจัดทำรายงานประจำปีที่เป็นรายงานประเมินคุณภาพภายใน  ซึ่งโรงเรียนได้ดำเนินการประเมินคุณภาพภายในตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาที่เป็นผลมาจากการดำเนินงานทั้งหมดของสถานศึกษา ซึ่งครอบคลุมมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาและได้นำเสนอรายงานผลการประเมินต่อคณะกรรมการสถานศึกษา จากการรายงานจึงเกิดประโยชน์ต่อครูผู้สอนได้เห็นข้อมูลจากการดำเนินงานของสถานศึกษาในเชิงประจักษ์มีหลักฐานชัดเจน จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัว และมีการปรับพฤติกรรมการทำงานเพื่อเป้าหมายที่กำหนดไว้ร่วมกัน (การประกันคุณภาพภายในการศึกษา.  2560: ออนไลน์)

2. รับการตรวจเยี่ยมของผู้ประเมินภายนอก

โดยครูต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการประเมินคุณภาพในประเด็นที่สำคัญๆ อาทิ การประเมินคุณภาพคืออะไร มีความสำคัญต่อการพัฒนาอย่างไร ขั้นตอนการประเมินคุณภาพเป็นเช่นไร การให้ความร่วมมือการตอบคำถามหรือการสัมภาษณ์  โดยยึดหลักว่าตอบตามสิ่งที่ปฏิบัติจริงและผลที่เกิดขึ้นจริง ทางโรงเรียนต้องเปิดโอกาสให้มีการอภิปราย ซักถาม แสดงความคิดเห็น  เพื่อสร้างความกระจ่างในการดำเนินงานของทุกหน่วยงานในทุกประเด็น  เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องของครู และเน้นย้ำครูทุกคนตระหนักว่าการประกันคุณภาพ คือภารกิจประจำของทุกคนที่ต้องร่วมมือกันทำอย่างต่อเนื่อง (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา.  2560: ออนไลน์)

3. รับข้อเสนอแนะจากผู้ประเมินภายนอกมาดำเนินการให้มีการปรับปรุงแก้ไข

ครูจะได้รับข้อเสนอแนะจากผู้ประเมินภายนอกโดยจะบอกถึงจุดเด่น จุดที่ควรพัฒนา และข้อแสนอแนะจากการประเมินคุณภาพภายนอก  ซึ่งมีข้อเสนอแนะจากกรรมการประเมินหลายประการที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับครู ยกตัวอย่างเช่น เรื่องการคิดวิเคราะห์ฯของนักเรียนมีกิจกรรมมากมายที่ครูสามารถนำมาจัดการเรียนรู้ส่งเสริมพัฒนาการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนด้านต่างๆ เมื่อทำแล้วควรเก็บหลักฐานไว้ด้วย(จุดอ่อนคือขาดหลักฐาน) กิจกรรมที่ส่งเสริมได้มากคือการสอนด้วยโครงงานซึ่งควรทำทุกกลุ่มสาระไม่ใช่ทำแต่วิทยาศาสตร์เท่านั้น หรือจะเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ของครูมักไม่ค่อยมีบันทึกหลังสอน หรือบันทึกก็ไม่ชัดเจน  จึงควรบันทึกให้ครบทั้ง 3 ประเด็นคือ ผลการจัดการเรียนรู้   ปัญหาที่พบ/จุดที่ควรพัฒนาเพิ่มเติม  และข้อเสนอแนะหรือสิ่งที่ปรับปรุงพัฒนาแล้ว  จึงจะเห็นถึงการนำแผนไปใช้จริง และมีการปรับปรุงพัฒนาต่อเนื่องตามวงจร PDCA  และควรมีบันทึกการซ่อมเสริมนักเรียนด้วย(ผู้บริหาร รองผอ.วิชาการ และหัวหน้ากลุ่มสาระควรดูแลเป็นพิเศษ) และส่วนวงจร PDCA ไม่ใช่ปฏิบัติแต่ผู้บริหารเท่านั้น ควรมีหลักฐานในการปฏิบัติงานของทั้งผู้บริหาร  ครู และนักเรียน ด้วย จึงจะเป็นการบริหารและการทำงานที่เป็นระบบและต่อเนื่องทั่วทั้งโรงเรียน (ธเนศ ขำเกิด.  2560: ออนไลน์)

สรุป

ระบบการประกันคุณภาพภายในกับระบบการประกันคุณภาพภายนอก มีความแตกต่างและมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน การประกันคุณภาพภายในเป็นกระบวนการที่สถานศึกษาและหน่วยงานต้นสังกัดจะต้องดำเนินการให้เป็นส่วนหนึ่งของการบริหาร โดยบุคลากรทุกคนในสถานศึกษา เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาเข้าสู่มาตรฐานการศึกษาแล้วจัดทำรายงานประจำปีเสนอผู้เกี่ยวข้อง ส่วนการประกันคุณภาพภายนอกเป็นงานที่ต่อเนื่องและสัมพันธ์กับการประกันคุณภาพภายใน เป็นการตรวจสอบผลการประเมินตนเองของสถานศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาโดยหน่วยงานภายนอกเพื่อให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง การประกันคุณภาพภายในกับการประกันคุณภายนอกจึงสัมพันธ์เชื่อมโยงกันด้วยมาตรฐานการศึกษาโดยคำนึงถึงหลักการสำคัญ คือ เอกภาพเชิงนโยบาย ความหลากหลายในทางปฏิบัติและมุ่งส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพการศึกษามากกว่าการควบคุมหรือการให้คุณให้โทษ (การประกันคุณภาพการศึกษา.  2560: ออนไลน์)

**********นางสาวทิพราภา ปรางมุข รหัสนักศึกษา 5946702104 กลุ่มเรียน 04*************